สิ่งที่ควรทำก่อนการดำน้ำ

สิ่งที่ควรทำก่อนการดำน้ำ

สิ่งที่ควรทำก่อนการดำน้ำ

หลังจากที่เราได้แนะนำคุณไปแล้วเกิดกับสิ่งที่ไม่ควรทำในการดำน้ำ วันนี้เราเลยจะมาพูดถึงสิ่งที่ควรทำในการดำน้ำกันบ้างนะคะ ซึ่งแต่ละข้อก็นับได้ว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ที่รับรองได้เลยว่าคุณจะได้ประโยชน์และเกร็ดความรู้ดีๆ รวมถึงเป็นข้อมูลการดำน้ำฉบับย่อจากบทความนี้อย่างแน่นอน เอาล่ะถ้าคุณอยากรู้ว่ามีอะไรกันบ้างก็มาดูต่อกันได้เลยค่ะ

สิ่งที่ควรทำก่อนการดำน้ำ

1. ตรวจสอบความพร้อมอุปกรณ์การดำน้ำก่อนทุกครั้ง

สิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับการดำน้ำเลยนั่นก็คือ อุปกรณ์การดำน้ำค่ะ เพราะพวกจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถดำน้ำได้แล้ว ก็ยังเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณมีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นก่อนการดำน้ำทุกครั้งจึงจำเป็นมากๆที่จะต้องตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆในการดำน้ำเพื่อใบห้มั่นใจว่ามีสภาพที่พร้อมใช้งาน ไม่ชำรุดเสียหาย เพราะหากเราตรวจสอบก่อนก็ถือได้ว่าเราลดการเกิดอุบัติเหตุที่ฉุกเฉินไปได้ถึง 80% เลยนะคะ

2. เตรียมสภาพร่างกายของคุณให้พร้อม

นอกจากอุปกรณ์เราต้องพร้อมแล้วสภาพร่างกายของคุณก็เป็นที่สิ่งที่จำเป็นมากๆเช่นเดียวกัน คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่เจ็บไม่ป่วย หรือมีปัญหาเรื่องการหายใจ เพราะถ้าหากคุณไม่สบายจะทำให้คุณดำน้ำไม่สนุกอย่างแน่นอน เพราะว่าคุณจะไม่สามารถทำได้เต็มที่ ถ้ายังไงก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะจะได้พร้อมออกไปผจญภัยกันได้ตลอดเวลา

3. เตรียมใจของคุณให้พร้อม

ถ้าหากคุณเพิ่งเคยดำน้ำเป็นครั้งแรก นั้นเชื่อได้เลยว่าคุณอาจจะเกิดอาการ Panic ได้ คือการกังวล วิตก และหวาดกลัว เพราะว่าการดำน้ำนั่นถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ในดลกที่แปลกใหม่แบบที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนบนบก เพราะฉะนั้นอย่ากลัว พยายามคุมสติ และจดจ่ออยู่กับการดำน้ำก็พอ เพราะว่าถ้าหากคุณ Panic จะทำให้คุณหายใจเร็ว แตกตื่น และอาจจะเผลอหายใจทางจมูกอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งนั่นอาจจะเกิดอันตรายกับตัวคุณได้นะคะ

4. ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนการออกทะเลไปดำน้ำ

เชื่อเถอะว่าการที่ได้ดำน้ำในสภาพอากาศที่ดีนั้นมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะคุณจะได้เจอกับน้ำใสๆ ซึ่งทำให้คุณสามารถดูความสวยงามของโลกใต้น้ำได้อย่างชัดเจน และในเรื่องของคลื่นลมก็เป็นที่สิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน เพราะหากกระแสน้ำแรงมาก คุณก็จะต้องว่ายน้ำ ดำน้ำกันเหนื่อยเลยทีเดียว และในเรื่องของพายุและฝนก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ เพราะหากเกิพายุนั่นหมายความว่าการออกทะเลครั้งนั้นจะไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน และถ้าหากมีฝนก็อาจจะทำให้น้ำขุ่น มีฝุ่นใต้น้ำ จนเราแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย

5. ดื่มน้ำก่อนลงดำน้ำ

ก่อนที่คุณจะลงไปดำน้ำต้องอย่าลืมที่จะจิบน้ำสัก 2-3 อึกก่อนด้วยนะคะ เพราะว่าการดำน้ำนั้นเราจะต้องใช้ระบบการหายใจทางปาก ซึ่งลมจะเข้าออกไปสู่ปอดของเราผ่านทางหลอดลมเพราะฉะนั้นก็อาจจะทำให้เกิดอาการคอแห้งได้ และอีกอย่างการดำน้ำก็คือกิจกรรมกลางแจ้งอย่างหนึ่ง ซึ่งการอยู่กลางแดดร้อนๆเป็นเวลานานอาจจะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมจิบน้ำก่อนด้วยนะคะ เพื่อป้องกันอาการต่างๆที่อาจจะตามมากจากการขาดน้ำ

และนี่ก็คือ 5 ข้อที่คุณควรทำก่อนการออกไปดำน้ำนะคะ เพื่อที่คุณจะสามารถดำน้ำได้อย่างสนุกสนาน และมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ

 

# จุดดำน้ำตื้นในประเทศไทย

ล่องไปตามสายน้ำกับ แคนู

ล่องไปตามสายน้ำกับ แคนู

ล่องไปตามสายน้ำกับ แคนู

อย่างที่รู้ๆกันว่ากีฬา Extreme คือกีฬาที่มีความเสี่ยงสูงในหลายๆ อย่างทั้งในเรื่องของการได้รับบาดเจ็บและหนักสุดถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็ยังมีนักกีฬาอีกหลายๆ คนเลือกที่จะท้าทายกับกีฬาเหล่านี้ ทั้งบนบก, ทางน้ำและทางอากาศ ส่วนมากก็มักจะเล่นกันเป็นกลุ่มอย่างพวกสเกตบอร์ด, โรลเลอร์เบลด และจักรยาน BMX แต่ยังมีอีกกลุ่มที่ชอบการท้าทายไปกับสายน้ำต่างๆ ในโลกนี้ด้วยเรือเพียงลำเดียวที่ทุกคนรู้จักกันดีในเรือแคนูหรือเรือคายัค

ล่องไปตามสายน้ำกับ แคนู

ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่าเรือแคนูกับเรือคายัคนั้นมีลักษณะที่ใกล้เคียงกันแต่มีประวัติการสร้างและรูปทรงที่แตกต่างกันแต่ในการแข่งขันกีฬาจะรวมทั้งสองอย่างไวด้วยกันและใช้ชื่อว่าการแข่งขันพายเรือแคนูแทนประวัติของเรือแคนูที่ถูกบันทึกไว้นั้นรายงานว่าเรือแคนูมีอายุอยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์หลายพันปีเรือแคนูถูกสร้างโดยชาวอินเดียงแดงมีจุดประสงค์เพื่อการค้า, การเดินทาง, ล่าสัตว์และไว้ทำสงครามกับแคว้นที่อยู่ห่างออกไป

ล่องไปตามสายน้ำกับ แคนู

ลักษณะของเรือแคนูนั้นในแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันอย่างเช่นในประเทศนิวซีแลนด์ที่เรือจะมีความยาวมากถึง 35 เมตร และต้องใช้ฝีพายถึง 80 คนด้วยกัน ในขณะที่บางประเทศอาจจะมีความยาวไม่เท่านี้ และอาจจะใช้ฝีพายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ส่วนประกอบของเรือแคนูที่สร้างโดยชาวอินเดียนแดงในอเมริกาเหนือนั้นจะใช้หนังกวางเป็นส่วนประกอบพร้อมกับเปลือกไม้เอิร์ซ (Birch bark) ขณะที่ชาวอียิปต์จะใช้เปลือกของไม้พาไพรัส (Papyrus reeds) ขณะที่ชาวโพลีเนเซียนจะใช่ท่อนซุงเป็นส่วนประกอบหลัก

วันเวลาผันผ่านไปหลายปีเรือแคนูได้กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมากมีนักผจญภัยมักจะใช้เรือแคนูในการสำรวจตามลำน้ำต่างๆและภายหลังจากนั้นจึงได้มีการจัดตั้งสหพันธ์เรือแคนูนานาชาติขึ้น (International Canoe Federation – I.F.C) และได้มีการผลักดันให้เข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ในปี ค..1928 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ตอนนั้นกีฬาแคนูได้เป็นแค่กีฬาสาธิต แต่หลังจากนั้นอีก 12 ปีต่อมาการแข่งขันพายเรือแคนูก็ได้มีการนำเข้าสู่การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์อย่างถาวรโดยจะใช้ชื่อว่าการแข่งขันพายเรือแคนูซึ่งเป็นการรวมระหว่างเรือแคนูและเรือคยัคเข้าด้วยกัน

ในปี 1972 เยอรมนีตะวันตก ได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ และได้ตัดสินใจทุ่มเงินสร้างลำน้ำจำลองขึ้นมาและสามารถคว้าเหรียญทองมาได้ทุกรายการ เรียกว่าการทุ่มเทของพวกเขาไม่สูญเปล่า จากนั้นในปี 1996 โอลิมปิกเกมส์ที่แอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เป็นครั้งแรกที่เรือแคนูได้ทำการแข่งขันในแม่น้ำจริงๆ โดยแข่งขันกันที่แม่น้ำโอโคอี (Ocoee) ในรัฐเทนเนซซี่ซึ่งในครั้งนั้นก็ยังคงเป็นประเทศจากทวีปยุโรปที่ครองเจ้าสายน้ำไป

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเรือแคนูจะประกอบด้วยตัวเรือ, ไม้พาย, เสื้อชูชีพ และหมวกกันน็อก ที่ต้องสวมเอาไว้เพราะกันเหตุฉุกเฉินในกรณีที่เรือพลิกคว่ำและอาจจะไปกระแทกกับโขดหินในน้ำ โดยส่วนมากผู้เล่นมักจะพายในลำน้ำที่มีความเชี่ยวพอสมควรเพื่อท้าทายความสามารถ ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยในแต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมกับหน่วยกู้ภัยคอยประจำอยู่แต่กระนั้นก็ยังมีบางครั้งที่มีผู้เสียชีวิตจากการพายเรือแคนู เนื่องจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดและบางครั้งไม่มีการเซฟตี้ที่ดีเลยทำให้จังหวะเรือพลิกคว่ำตัวของผู้เล่นอาจจะหลุดออกจากตัวเรือและไปกระแทกกับโขดหิน ดังนั้นพื้นฐานการว่ายน้ำก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับนักกีฬาที่อยากจะเล่นกีฬา Extreme ชนิดนี้นอกจากนี้ยังต้องศึกษาแหล่งน้ำให้ดีว่าจุดไหนที่อันตรายจุดไหนที่สามารถพักได้ในกรณีฉุกเฉิน

Virgin Active Thailand (EmQuartier)

อาแมนดา คาร์ จอมปั่นลูกครึ่งแห่งแดนสยาม

อาแมนดา คาร์ จอมปั่นลูกครึ่งแห่งแดนสยาม

ย้อนกลับไปในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ปี 2014 ที่ตอนนั้นประเทศเกาหลีใต้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ในการแข่งขันกีฬาจักรยานเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่ทีมชาติหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะคว้าเหรียญติดมือมาให้ได้ และในการแข่งขันประเภทจักรยาน BMX ของฝ่ายหญิงทีมชาติไทยก็คว้าเหรียญทองมาครองได้แบบไม่มีใครคาดคิด แม้แต่แฟนๆ กีฬาชาวไทยเช่นเดียวกัน นักกีฬาคนนั้นไม่มีใครรู้จักแต่เพียงชั่วข้ามคืนเธอกลับมีชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะฮีโร่ของวงการจักรยานและประเทศไทย เธอมีนามว่าอาแมนดา คาร์

อาแมนดา คาร์ จอมปั่นลูกครึ่งแห่งแดนสยาม

อาแมนดาไมล์เดรดคาร์ (Amanda Miledred Carr) เกิดวันที่ 24 มิถุนายน พ..2533 (..1990) ที่รัฐฟลอริดาประเทศสหรัฐอเมริกาเธอมีบิดาชื่อแครอลคาร์เป็นชาวอเมริกันอดีตเคยเป็นทหารอากาศของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาแต่ตอนหลังได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นทนายขณะที่มารดาชื่อว่าละมุลพึ่งโพธิ์เป็นชาวไทยจากจังหวัดอุดรธานี

อาแมนดาคาร์มีชื่อเล่นว่าหยองเธอชื่นชอบจักรยานมาตั้งแต่เด็กๆเนื่องจากลูกพี่ลูกน้องเป็นคนชวนให้เล่นทำให้เธอคลุกคลีกับจักรยานมาโดยตลอดจากนั้นเธอได้มีโอกาสติดทีมชาติสหรัฐฯไล่ตั้งแต่ระดับยุวชน, เยาวชน มาจนถึงทีมชาติชุดใหญ่ เลยทำให้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นกำลังสำคัญหลักของทีมชาติสหรัฐอเมริกาต่อไป แต่สุดท้ายเธอกลับตัดสินใจย้ายสัญชาติมาลงแข่งในนามของทีมชาติไทย ซึ่งเธอเผยว่าได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อและคุณแม่อย่างเต็มที่

จากนั้นเธอได้เข้าร่วมการแข่งขันรายการยูซีไอเวิลด์คัพซูเปอร์ครอสที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในสนามที่ 3 ก่อนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันรายการ BMX ไทยแลนด์โอเพ่นที่จังหวัดสระบุรี แต่ตอนนั้นชื่อเสียงของ คาร์ ไม่ได้โด่งดังมากนัก รู้จักกันแค่ในวงการจักรยาน BMX ว่าเป็นนักกีฬาที่โอนสัญชาติมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพียงแค่นั้น และยังไม่เคยมีสื่อไหนไปสัมภาษณ์หาข้อมูลของเธอเพิ่มเติมเลย จึงทำให้เธอยังเป็นแค่นักกีฬาโนเนมในสายตาของแฟนๆ กีฬาชาวไทย

จนกระทั่งปีพ..2557 ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศไทยได้ส่งนักกีฬาเข้าแข่งขันจักรยาน ซึ่งในประเภท BMX ฝ่ายหญิงตัวแทนของประเทศไทยก็คืออาแมนดาคาร์ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่านักปั่นลูกครึ่งรายนี้จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยหลังจากเธอสามารถคว้าเหรียญทองมาให้กับทัพนักกีฬาไทยได้จากนั้นชื่อของเธอก็โด่งดังยิ่งขึ้นไปอีกเพราะตอนสัมภาษณ์เธอให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอีสานเลยทำให้สื่อต่างๆให้ความสนใจในตัวอาแมนดาคาร์มากขึ้น

ภายหลังจบการแข่งขันชื่อของอาแมนดาคาร์เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นมีการเดินทางไปสัมภาษณ์เธอถึงบ้านที่จังหวัดอุดรธานีโดยเธอบอกว่าที่พูดภาษาไทยได้ชัดเจนเพราะคุณแม่สอนตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษและในปี 2558 เธอได้รับรางวัลเป็นนักกีฬาที่มีคนกล่าวถึงมากที่สุดในรอบปี พร้อมกับได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ และได้เข้าแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ปี 2016 ที่ประเทศบราซิล แม้เธอจะไม่สามารถคว้าเหรียญทองมาให้ประเทศไทยได้ แต่เธอก็ภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้ลงแข่งเป็นตัวแทนของประเทศไทย และได้ทำตามความฝันของเธอ

อย่างไรก็ตามในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ในปี 2018 อาแมนดา คาร์ กลับไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อนักกีฬาของประเทศไทย ท่ามกลางความงุนงงของบรรดาแฟนคลับว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ และมีข่าวลือออกมาว่าเธอได้เลิกเล่นไปแล้ว จากนั้นเธอได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ได้กลับศึกษาต่อให้จบตามที่ได้สัญญากับคุณแม่ไว้ และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเพื่อพักผ่อนแต่ยังไม่เลิกขี่จักรยานแต่อย่างใด และยังพร้อมที่จะกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ซึ่งในปัจจุบัน อาแมนดา คาร์ พักอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และทำงานเป็นประธานให้กับ The BMX Track ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร และทำงานเป็นอาสามสมัครในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงการจักรยาน BMX

 

# จักรยาน BMX บุกตะลุยด้วยสองล้อ

Virgin Active Thailand (EmQuartier)

Virgin Active Thailand (EmQuartier)

Virgin Active Thailand (EmQuartier)

วันนี้เราจะพาคุณมาสัมผัสประสบการณ์การปีนหน้าผาจำลอง Indoor ใจกลางกรุงกันนะคะ และบอกได้เลยว่าที่นี่คุณสามารถเดินทางมาได้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด อีกทั้งยังครบวงจรมากๆอีกแห่งหนึ่งเลยทีเดียวก็ว่าได้ และที่ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้นั่นก็คือ Virgin Active Thailand สาขา EmQuatier นั่นเอง ซึ่งเหมาะมากๆสำหรับใครที่ชอบออกกำลังกาย เป็นสายรักสุขภาพ และที่สำคัญถ้าคุณเป็นอีกคนนึงที่ชอบปีนเขาก็ต้องห้ามพลาดเลยทีเดียว

Virgin Active Thailand (EmQuartier)

มาทำความรู้จักกับยิม Virgin Active Thailand (EmQuartier) กันดีกว่า

สำหรับที่นี่ก็ถือว่าเป็นศูนย์ออกกำลังกายชั้นนำที่มาพร้อมกับความหรูหรามีระดับ รวมถึงความนครบครันของเครื่องเล่น อีกทั้งในตอนนี้ Virgin Active ก็ยังเอาใจคนที่หลงไหลในการปีนหน้าผา โดยเพิ่ม หน้าผาจำลองมาให้คุณได้ปีนอีกด้วย และด้วยทำเลที่ดีที่สุดของที่นี่ก็ทำให้คุณสามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาการจราจร คุณสามารถนั่ง BTS มาลงที่สถานีพร้อมพงษ์แล้วก็เดินเข้าห้างมาได้เลย นับว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งเชคอินแห่งใหม่ที่เอาใจชาวเมืองไม่น้อย

ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ออกกำลังที่ครบวงจรแต่ก็ทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะ Wall ที่นี่นั่นมีรองรับให้กับนักปีนหน้าผาสุดสายเลยทีเดียว ที่นี่มีทั้งการปีนแบบ Top Rope, Lead Climbing และแบบ Bouldering ด้วยเช่นเดียวกัน นับได้ว่าครบถ้วนมากๆเลยทีเดียว อีกทั้งยังมี Route ที่หลากหลาย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักปีนหน้าผา Level ไหนก็สามารถมาเลือกปีนกันได้หมด และแน่นอนว่าที่ก็ยังคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะฉะนั้นมาตราฐานระดับ Virgin Active Thailand จะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน

สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย

สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกสบายของที่นี่ก็มีพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็น ล็อคเกอร์ ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ สถานที่ออกกำลังกาย ห้องซาวน่า สปาน้ำอุ่น สระว่ายน้ำ Indoor และกิจกรรมเรียกเหงื่อมากมายที่รอให้คุณได้ลองมาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงทำเลที่ออยู่ใจกลางเมืองที่สุด เดินทางได้สะดวกสบายที่สุด และประหยัดเวลามากที่สุดอีกด้วย

ที่ตั้ง

ห้างสรรพสินค้า The EmQuartier ชั้น 4 กรุงเทพฯ

เบอร์ติดต่อ : 02 770 9797

วันและเวลาทำการ : วันจันทร์-วันศุกร์ เปิดบริการเวลา 6.00-22.00 วันเสาร์-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดบริการเวลา 8.00-22.00

เรียกได้ว่าที่ Virgin Active Thailand (EmQuartier) แห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ปีนหน้าผาจำลองที่มีความครบครันทั้งทางด้สนความสะดวกสบายในการเดินทาง สถานที่ที่มีมาตรฐาน และยังเป็นศูนย์รวมการออกกำลังชั้นนำอีกหนึ่งแห่งที่เอาใจชาวเมืองมากๆ ถ้าใครเดินช้อปปิ้งกันเบื่อแล้วก็เปลี่ยนมาลองปีนหน้าผากันได้ที่นี่เลยนะคะ

 

# Climb Central Bangkok

ประเภทของสเกตบอร์ด

ประเภทของสเกตบอร์ด

สเกตบอร์ด กีฬาแนวเอ็กสตรีม ที่ได้รับความนิยมแพร่ไปทั่วทุกมุมโลก กับการทรงตัวอยู่บนบอร์ดที่ติดล้อไปตามทาง และใส่ท่วงท่าในการกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง รวมถึงการเล่นใน VERT (Vertical) สนามแข่งรูปตัว U ขนาดใหญ่ที่นักสเกตบอร์ดจะต้องทิ้งตัวมาจากทางดิ่งของอีกฝั่งเพื่อจะมากระโดดขึ้นอีกฝั่งโดยหากใครกระโดดได้สูงและมีลูกเล่นขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศจะได้รับทั้งคะแนนและคำยกย่องเป็นอย่างมากและวันนี้ของฝากสำหรับมือใหม่เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆคือจะพามารู้จักกับประเภทของสเกตบอร์ดว่ามีกี่ประเภทและมีอะไรบ้าง

สำหรับมือใหม่อาจจะคิดว่าสเกตบอร์ดนั้นมีแค่แบบเดียวแต่จริงๆแล้วสเกตบอร์ดแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลักๆด้วยกันดังนั้นมือใหม่จะต้องเลือกให้ดีว่าต้องการจะเล่นกับบอร์ดแบบไหนเพื่อความคล่องตัวและความปลอดภัยของตัวผู้เล่นเอง

ประเภทของสเกตบอร์ด

1. สเกตบอร์ด ออริจินัล (Skateboard Original)

สเกตบอร์ดหน้าตาปกติทั่วไปที่มักจะเห็นได้บ่อย เพราะนี่คือจุดแรกเริ่มของสเกตบอร์ดที่แปรเปลี่ยนมาจาก Surfing และไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยบอร์ดออริจินัลก็ยังคงความคลาสสิคเอาไว้ไม่เสื่อมคลาย แผ่นไม้ทำมาจากไม้เมเปิ้ลทำให้มีความแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น ขนาดความกว้างของบอร์ดออริจินัลจะอยู่ที่ 7.5 นิ้ว – 8.5 นิ้ว มีความยาวอยู่ที่ 32 นิ้ว เป็นแผ่นบอร์ดที่บรรดามือใหม่ทุกคนจะต้องเริ่มเล่น สำหรับมือใหม่แนะนำให้เลือกบอร์ดที่มีขนาดใหญ่เพื่อการทรงตัวและทำท่าพื้นฐานอย่าง ออลลี่ (Ollie) ท่าที่นักสเกตบอร์ดต้องทำเป็น ดูเหมือนง่ายแต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด และสำหรับผู้ที่ชำนาญแล้วหรือขั้นเซียนอาจจะมีการนำบอร์ดไปปรับแต่งหรือลดขนาดลงมา

2. ลองบอร์ด (Longboard)

เพิ่มความยากขึ้นไปอีกขั้นสำหรับผู้ที่ชำนาญแล้ว และได้รับการยกย่องเป็นบอร์ดที่เล่นยากมาก เพราะมีขนาดกว้างถึง 8 – 8.5 นิ้ว และความยาวที่เพิ่มขึ้นไปจนถึง 34 – 40 นิ้วทำให้การทรงตัวยากขึ้นกว่าเดิม และในส่วนของล้อทั้งหมดก็ยื่นออกมาจากแผ่นบอร์ดเลยทำให้บอร์ดตัวนี้เป็นบอร์ดที่บรรดาเซียนๆ ใฝ่ฝันอยากจะมีไว้ในครอบครอง ซึ่งส่วนมากผู้ที่ชื่นชอบลองบอร์ดมักจะชอบใช้ท่าหมุนไปมาในระหว่างที่สไลด์ลงจากเนินสูง แต่สำหรับมือใหม่ที่แนะนำให้ทำท่าง่ายๆ อย่าง Carve ดูก่อนอย่าเพิ่งไปถึงขั้นแอดวานซ์กว่านั้นเพื่อป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน

3. เพนนีบอร์ด (Pennyboard)

มากันต่อที่บอร์ดขวัญใจสาวๆ กับ เพนนี่บอร์ด บอร์ดที่มีขนาดเล็กกว่า 2 อันที่กล่าวมาในตอนแรกมีขนาดให้เลือกแค่ 22 และ 27 นิ้วเท่านั้นและตัวบอร์ดทำมาจากพลาสติกแต่เป็นพลาสติกที่มีความแข็งแรงมากแถมยังมีน้ำหนักที่เบากว่าบอร์ดที่ทำจากไม้ทำให้สามารถพกพาไปได้สะดวกในทุกที่เหมาะสำหรับสาวๆที่อยากไถบอร์ดเล่นให้หนุ่มๆมองตามแต่บอร์ดตัวนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นแต่หนุ่มๆก็เล่นได้เช่นเดียวกันด้วยล้อที่มีขนาดใหญ่จะช่วยในการทรงตัวได้ดียิ่งขึ้นซึ่งบอร์ดตัวนี้มีแค่ท่าเบสิคนิดๆหน่อยๆไม่ได้เน้นการเล่นท่าอะไรมากมายแต่เน้นที่สะดวกในการพกพาและไถเล่นแบบชิลๆมากกว่า

4. ฟิงเกอร์บอร์ด (Fingerboard)

มากันที่ประเภทสุดท้ายก็ตรงตัวตามชื่อเลยคือบอร์ดที่ใช้นิ้วมือในการเล่นมีขนาดเพียงแค่ 4 นิ้วเท่านั้นแต่ได้ความเท่ความคูลเป็นของสะสมเก๋ไปโดนปริยายแต่ถ้าใครคิดว่าบอร์ดอันนี้เล่นง่ายคุณคิดผิดทันทีเพราะฟิงเกอร์บอร์ดต้องใช้นิ้วในการบังคับในการทำท่าต่างๆขนาดพวกเซียนบอร์ดธรรมดายังต้องมาตกม้าตายกับฟิงเกอร์บอร์ดแต่หากใครที่ฝึกฝนจนชำนาญและหยิบออกมาเล่นโชว์คงจะเท่ห์ไปอีกแบบ

 

# Extreme motorsport คืออะไร

Extreme motorsport คืออะไร

Extreme motorsport คืออะไร

Extreme motorsport คือกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่อยู่ในรูปแบบของการแข่งขันทางด้านยานพาหนะ ที่ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันรถแข่ง มอเตอร์ไซต์วิบาก หรือการแข่งขันยานยนต์ทางน้ำ รวมไปถึงเครื่องบินทางอากาศ ก็อยู่ในหมวดเดียวกันกับกีฬาด้าน motorsport ซึ่งจะเพิ่มความผาดโผด หรือความวิบากดลดโผนมากขึ้น จนกลายเป็นกีฬาด้าน Extreme motorsport นั่นเอง ซึ่งประเภทของ Extreme motorsport นั้นแท้จริงแล้วมีแยกย่อยอยู่หลากหลายประเภท หลากหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามยานพาหนะที่ใช้ รวมไปถึงสถานที่ในการแข่งขัน ก็ถูกแบ่งออกเป็นประเภทที่แตกต่างกันได้เช่นเดียวกัน โดยทางเราได้รวบรวมมาทั้งหมด 5 ประเภท Extreme motorsport ดังนี้

Extreme motorsport คืออะไร

  Rally Racing

เป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีม มอเตอร์สปอร์ทแบบแรกที่พบเห็นได้บ่อย โดยเป็นรูปแบบการแข่งขันความเร็วของ รถแรลลี่ รถยนต์ขนาดเล็ก หรือรถยนต์ที่ใช้กันทั่วไป แต่นำมาดัดแปลงให้เพิ่มความเร็ว และการทรงตัวกับพื้นถนนให้ดีมากยิ่งขึ้น สำหรับสนามการแข่งขันในรูปแบบ แรลลี่ นี้ จะเป็นสนามที่ไม่มีการลาดยางถนน ซึ่งอาจจะเป็นดินร่วน ๆ หรือหากเจอสภาพอากาศที่ฝนตก ความยากในการบังคับทิศทางรถก็จะเพิ่มมากขึ้น โดยทั้งหมดนี้ผู้แข่งขันจำเป็นต้องฝึกฝนการบังคับรถยนต์ให้มีความคล่องตัวไปกับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ในภายภาคหน้า และที่ขาดไม่ได้เลยคือความเร็ว ความแรงของรถยนต์ ที่จะทำให้นักแข่งถึงเส้นชัยก่อนใครนั่นเอง

Extreme motorsport คืออะไร

  Demolition Derby

เป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีม แบบ มอเตอร์สอร์ท อีกหนึ่งประเภทที่มีความโลดโผน ดิบ เถื่อน และมันส์ เป็นอย่างมาก กับการแข่งขัน ขับรถยนต์ที่เน้นการหยุดผู้แข่งขัน หรือรถของผู้แข่งขันคนอื่น ๆ ด้วยวิธีการที่ผู้แข่งขันจำเป็นต้องสร้างความเสียหายให้รถยนต์ของคนอื่น ๆ โดยผู้ที่เข้าเส้นชัยได้ก่อนคือผู้ชนะ แต่ความเอ็กซ์ตรีมที่ยากขึ้นนั้น คือสภาพถนนที่มีทั้งบ่อโคลน ความขรถขระต่าง ๆ ของพื้นถนน ที่ไม่ได้ถูกลาดยางมาเป็นอย่างดี อีกทั้งยังต้องทำลายผู้แข่งขัน โดยการสรรสร้างหาวิธีที่ทำให้รถคันอื่น ๆ เสียหายอีกด้วย ถือว่าเป้นความท้าทายที่น่าสนใจของการแข่ง Extreme motorsport ประเภทนี้เป็นอย่างมาก

  Drifting

เชื่อว่าแฟน ๆ การแข่งรถส่วนใหญ่คงคุ้นชินกับการ ดริฟท์ ที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยในการแข่งรถ แต่การดริฟท์นั้นอาจทำให้ผู้แข่งขันการขับรถเพื่อความเร็วนั้น เสียเวลา และเสียความเร็ว ไปกับการดริฟท์เข้าโค้งได้ เพราะการดริฟท์นั้นเกิดจากการเยียบเบรคที่มากเกินไปและทำให้เสียแรงฉุดในการเลี้ยวได้ แต่ความเท่ของการ ดริฟท์ รถ ทำให้เกิดกีฬามอเตอร์สปอร์ทชนิดใหม่อย่าง Extreme motorsport Drifting ขึ้นมา เพื่อแข่งขันการดริฟท์ที่เพอเฟคที่สุด โดยวัดจากการแสดงดริฟท์รถ ในส่วนของมุมรถ ล้อรถ และควันที่เกิดขึ้นจากการดริฟท์ ถือว่าเป้นกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่กลับได้รับความนิยมสูงมาก

  Motocross

หรือการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก ก็ถือว่าเป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความสนใจมากอย่างยาวนาน โดยเป็นการแข่งขันกีฬาการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่มีรูปแบบออฟโรด มีการสร้างสนามการแข่งขันให้เป็นลักษณะเนินเขา บางเนินเขามีความชันสูงมาก มาพร้อมถนนดินขรุขระที่มีความอันตรายสูง ถือว่าเป็น Extreme motorsport ที่มีทั้งความอันตรายต่อผู้แข่งขันสูง แต่กลับสร้างความตื่นเต้นเร้าใจต่อผู้รับชมมากเลยทีเดียว

  Freestyle Motocross

เป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ต่อยอดมาจาก มอเตอร์ไซค์วิบาก โดยเป็นรูปแบบการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบากแบบฟรีสไตล์ เน้นการใหคะแนนจากการโชว์ท่วงท่าลีลาการขับ โดยเฉพาะช่วงการลอยตัวกลางอากาศ ที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของกีฬาเอ็กซ์ตรีมประเภทนี้ สำหรับการแข่งขัน Extreme motorsport ประเภท Freestyle Motocross นั้น นักแข่งจะต้องเปิดตัวด้วยการขับมอเตอร์ไซค์วิบากให้ลอยตัว สตั้นอยู่กลางอากาศ จากการกระโดของตัวยานยนต์ คล้าย ๆ กีฬายิมนาสติกที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นของคู่กายนั่นเอง

 

การเตรียมตัวก่อนไปปีนหน้าผาจำลอง

Rock Domain Climbing Gym

Rock Domain Climbing Gym

Rock Domain Climbing Gym

ถ้าใครที่อยากจะลองมาปีนหน้าผาจำลองแบบ Indoor เราขอแนะนำให้คุณมาพบกับยิมปีนหน้าผาที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยกันที่นี่เลย Rock Domain Climbing Gym เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็น Community ของเหล่านักกีฬาปีนหน้าผาและผู้ที่ชื่นชอบในการปีนหน้าผาเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่มีพื้นที่ใหญ่โต จึงมี Wall และมี Route ให้ปีนมากมายหลากหลายเส้นทาง เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าจะคนเยอะแล้วคุณจะไม่ได้ปีนเท่าที่ควร เพราะที่นี่นั่นสามารถรองรับได้พอดีอย่างแน่นอน และไม่ว่าคุณจะเคยปีนมาบ้างแล้ว หรือว่าไม่เคยปีนมาก่อนเลยก็ไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่เหมาะสำหรับทุกวัยทุก level เลยทีเดียว

Rock Domain Climbing Gym

มาทำความรู้จักกับยิม Rock Domain Climbing กันที่กว่า

สำหรับที่ยิมปีนหน้าผาแบบ Indoor แห่งนี้นั่นถือว่าเป็นยิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาด 1,460 ตารางเมตร ซึ่งมีหน้าผาจำลองหลายแบบหลากสไตล์ให้คุณได้เลือกปีน ไม่ว่าจะเป็นแบบ Top Rope, Lead Climbing หรือ Bouldering ก็มีทั้ง Wall และ Roof ให้ได้ลองปีนกันอย่างสนุกสนาน เพียงเท่านั้นยังไม่พอที่นี่ก็มีในส่วนที่เป็นยิมให้คุณได้ทดลองพละกำลังของมือ แขน และขาของคุณได้อีกด้วย ที่ Rock Domain Climbing Gym แห่งนี้นับได้ว่าคำนึงถึงความปลอดภัยได้ดีมากๆเลยทีเดียว เพราะสำหรับการปีนแบบ Top Rope ที่นี่จะมีรอกที่ช่วยคานน้ำหนัก ทำให้ถึงแม้ว่า Climber จะมีน้ำหนักตัวที่มากกว่า Belayer เป็นเท่าตัวก็สามารถปีนได้ และสามารถลงมาได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย

Rock Domain Climbing Gym

ที่นี่นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าผาจำลอง Indoor ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากกลุ่มนักปีนหน้าผา เพราะด้วยความกว้างขวาง และความเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่ที่นี่ทำให้คุณทุกคนรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง และหลายๆคนยังได้มารู้จักเพื่อนใหม่ๆ รวมถึงได้ Buddy ในการปีนสหน้าผาจากที่นี่อีกด้วยนะคะ และที่สำคัญถึงแม้ว่าคุณจะไม่เคยมีประสบการณ์การปีนหน้าผาจำลองมาก่อนเลย เจ้าหน้าที่ที่นี่ก็พร้อมที่จะสอนและให้คำแนะนำเป็นอย่างดี สำคัญข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการปีนหน้าผา ทั้งการเป็น Climber และ Belayer

สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย

ด้วยความที่มีพื้นที่กว้างขวางไม่ใช่เฉพาะในยิมเท่านั้น ลานจอดรถที่นี่ก็กว้างมากด้วยเช่นกัน อีกทั้งที่นี่ยังมีคาเฟ่ให้คุณได้ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และขนมทานกันได้อีกด้วย รวมถึงที่เช่าอุปกรณ์ต่างๆ ทั้ง Climbing Shoes และ Harness สำหรับใครที่มีสัมภาระมากมายก็ไม่ต้องกังวล เพราะว่ามีห้องล็อคเกอร์สำหรับเก็บของให้คุณด้วยเช่นกัน รวมถึงห้องสุขา และห้องอาบน้ำ

ที่ตั้ง

ที่ Rock Domain Climbing Gym จะตั้งอยู่ที่ 1780 ถนนบางนา-ตราด บางนา กรุงเทพฯ ซึ่งยิมแห่งนี้จะอยู่ติดกับถนนเลย

เบอร์ติดต่อ : 02 399 4648

วันและเวลาทำการ : วันจันทร์-วันศุกร์ ให้บริการเวลา 11.00-21.30 วันเสาร์-วันอาทิตย์ ให้บริการเวลา 10.00-21.30

หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะมาเปิดประสบการณ์การปีนเขาที่น่าประทับใจ มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้การแนะนำอย่างเป็นกันเอง มีพื้นที่กว้างขวางแล้วล่ะก็ เราแนะนำให้คุณมาที่นี่เลย Rock Domian Climbing Gym รับรองได้ว่าคุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

 

การเตรียมตัวก่อนไปปีนหน้าผาจำลอง

Bungy Jump

Bungy Jump

กีฬา Extreme มีมากมายหลายชนิดให้ผู้เล่นหรือผู้ที่อยากจะหารสชาติให้กับชีวิตได้ไปลิ้มลองกัน ซึ่งส่วนมากก็มักจะเลือกเล่นกีฬาที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตมากนักอย่างเช่น จักรยาน BMX, Skatebord, RollerBlade และ Surfing แต่หากเป็นขั้นที่ชำนาญขึ้นมาหน่อยหรือต้องการความท้าทายเพิ่มมากขึ้นก็อาจจะเลือกไปดำนในถ้ำ, ปีนเขา, ปีนหน้าผา หรือไม่ก็กระโดดร่ม แต่ยังมีกลุ่มที่ต้องการความเสี่ยงยิ่งกว่านั้น และวันนี้จะขอแนะนำกีฬา Extreme ชนิดหนึ่งที่มีรากฐานการกำเนิดมาจากการพิสูจน์ความกล้าของคนในเผ่า จนแปรเปลี่ยนกลายเป็นมากีฬา Extreme ยอดฮิตทั่วโลกอย่าง Bungy Jump (บันจี้ จัมพ์)

Bungy Jump

การกำเนิดของบันจี้จัมพ์มีรากฐานว่ามาจากชนเผ่าเมลานีเซียนซึ่งเป็นชนเผ่าเก่าแก่ที่อาศัยอยู่บนหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกโดยจุดมุ่งหมายคือต้องการให้ผู้ชายในเผ่าพิสูจน์ความกล้าหาญและความเป็นชายชาตรีเต็มตัวซึ่งวิธีการคือจะมีการสร้างหอสูงประมาณ 20 เมตร จากนั้นจะให้ผู้ที่เข้ารับการพิสูจน์กระโดดลงมาโดยที่มีแค่เถาวัลย์เพียงเส้นเดียวมัดขาเอาไว้ ภายหลังจากนั้นชมรมกีฬาของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University Dangerous Sport Club) ได้นำมาดัดแปลงให้เป็นกีฬาโดยการนำเชือกที่มีความเหนียวและยืดหยุ่นกว่ามาใช้ในการกระโดดจาก London Bridge แต่ทำได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

Bungy Jump

จากนั้นในปีค..1988 (..2531) บริษัทในประเทศนิวซีแลนด์ที่ชื่อ A.J. Hackett ได้นำบันจี้ จัมพ์ กลับมาอีกครั้งโดยใช้ในเชิงพาณิชย์ และมีทำอุปกรณ์รวมถึงสถานที่โดดให้มีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิมจนได้รับการยอมรับ และกีฬาบันจี้ จัมพ์ ก็ได้มีชื่อเสียงแพร่กระจายออกไปทั่วโลก อุปกรณ์การเล่นจะประกอบไปด้วยเชือกที่เรียกว่า Bungy Corde โดยเชือกเส้นนี้จะต้องได้รับการคำนวณน้ำหนักของผู้เล่นมาก่อนถึงจะนำมาใช้ได้ และอีกอันที่รัดขา (Leg Warp) โดยที่ตัวรัดขาจะมีขอไว้เกี่ยวกับเชือก Bungy Corde อีกทีหนึ่งและที่เหลือจะเป็นอุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ

วิธีการเล่นคือ Jump Master ที่เป็นคนดูแลจะคำนวณน้ำหนักของผู้เล่นและหาค่าที่เหมาะสมกับเชือก Bungy Corde โดยเชือกตัวนี้สามารถรับน้ำหนักแบ่งได้เป็น 40 – 60 กิโลกรัม, 60 – 80 กิโลกรัม และ 80 – 100 กิโลกรัม เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย Jump Master จะนำที่รัดขามาพันรอบขาจะคล้ายๆ กับที่รัดหน้าท้อง จากนั้นก็จะเอาเชือกพันขาส่วนขอไปเกี่ยวกับ Bungy Corde ที่ได้รับการคำนวณมาแล้ว อุปกรณ์สำคัญๆ อาจจะดูว่ามีน้อยแต่อุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายให้กับผู้เล่นได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว Jump Master จะอธิบายหลักคร่าวๆ ให้ผู้เล่นฟังว่าต้องทำอย่างไร

ทีนี้วิธีการโดดก็จะมีทั้งหมด 4 แบบด้วยกัน แบบแรกคือ DD จะเป็นการกระโดดแบบทิ้งดิ่งลงมา, แบบที่สองคือ Forward จะเป็นการกระโดดพุ่งตัวลงมาแบบนี้มักจะนิยมใช้กับการกระโดดจากเครน แบบที่สามคือ Back Ward หรือการหันหลังกระโดดแบบนี้สำหรับคนที่เล่นกีฬาประเภทนี้บ่อยๆ และแบบสุดท้ายคือ Tandom จะเป็นการกระโดดลงมากันเป็นคู่บางครั้งอาจจะมี Jump Master กระโดดลงมาพร้อมกันสำหรับมือใหม่ที่ยังกลัวอยู่

สำหรับผู้เล่นมือใหม่ก็ต้องศึกษาวิธีการเล่นแล้วทำตามคำแนะนำของ Jump Master ให้ดีๆเพราะถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์เซฟขนาดไหนก็ยังมีข่าวออกมาแทบจะทุกปีว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการเล่นบันจี้จัมพ์โดยส่วนมากจะเป็นสาเหตุจากไม่ได้คำนวณระยะของเชือกให้ดีและอีกสาเหตุมาจากเชือกที่ไม่ได้รับการดูแลซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานส่วนสาเหตุอื่นที่พบเจอได้คือการที่กระโดดลงไปแล้วเชือกแกว่งพาผู้เล่นไปกระแทกกับสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง

 

# Bull Riding

Bull Riding

Bull Riding

Bull Riding

เมื่อกล่าวถึงกีฬาประเภท Extreme หลายๆ คนจะนึกถึง Skateboard, Roller Blade, BMX, Surfing และ Climb mountain จากที่กล่าวมานั่นคือกลุ่มกีฬา Extreme ที่มีคนให้ความสนใจเป็นจำนวนมากและมีการผู้เล่นมากมายแพร่กระจายไปทั่วโลก บางอย่างถึงขั้นมีการเปิดสอนเพื่อพัฒนาเป็นนักกีฬาอาชีพเลยทีเดียว แต่ยังมีกีฬา Extreme อีกขนิดหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับผู้เล่นอย่างมหาศาลแต่หากพลาดขึ้นมาอาจจะต้องแลกมาด้วยความบาดเจ็บหรือบางครั้งอาจจะแลกมาด้วยชีวิต กีฬาชนิดนั้นคือ “Bull Riding” หรือการขี่วัวพยศนั่นเอง

Bull Riding

หากเป็นคนปกติถ้าเห็นวัวที่กำลังคลั่งวิ่งมาก็แทบจะขวัญหนีดีฝ่อแล้วแต่นี่ต้องขึ้นไปนั่งอยู่บนวัวที่ถูกทำให้โกรธพร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าแม้กระทั่งชีวิตของคนที่ขึ้นไปขี่บนหลังมันแต่ก็มีหลายๆคนยอมที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับ 8 วินาทีบนนั้น บางคนอาจจะมองว่าแปบเดียวแค่ 8 วินาที แต่สำหรับคนที่อยู่บนนั้นมันคือเวลาที่นานมากสำหรับพวกเขา การแข่งขันขี่วัวพยศ (Bull Riding) เกิดขึ้นเมื่อปี 1935 (..2478) โดยเกิดขึ้นจากบุคคลที่ทำงานอยู่ในฟาร์มวัว เพราะถือว่าเป็นการฝึกในขั้นเริ่มต้นเพื่อจะเป็นคาวบอย (Cowboy) ในอนาคต และกลายพื้นฐานของ Cowboy ทุกคนที่จะต้องมีในการขี่วัวพยศ

โดยกีฬาขี่วัวพยศเป็นส่วนหนึ่งของกีฬาโรดิโอ (Cowboys Rodeo) ซึ่งการแข่งขันนี้ถูกจัดโดยสองพี่น้องจากประเทศแคนาดาอย่าง มิสเตอร์เอิร์ลและมิสเตอร์เวลดอน มาสคอม ร่วมกับมิสเตอร์เจคและมิสเตอร์วัลโดรอค โดยมีการจัดขึ้นครั้งแรกที่เมืองโคลัมเบีย รัฐมิสซิสซิปปี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นในปีถัดมา (..1936 หรือ พ..2479) ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น Professional Rodeo Cowboys Association (PRCA) ภายหลังจากนั้นกีฬาขี่วัวพยศได้แพร่นิยมไปอย่างแพร่หลายในประเทศสหรัฐอเมริกา, แคนาดา ในแถบอเมริกากลาง, อเมริกาใต้, ประเทศออสเตรเลีย และบางพื้นที่ในทวีปยุโรปและเอเชีย รวมถึงที่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ประเทศไทยได้มีจัดตั้งกลุ่ม Bull Riders of Thailand (BRT) ขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

ทีนี้มาถึงวิธีการเล่นกันบ้างอย่างที่บอกไปว่าคนที่จะเล่นกีฬาขนิดนี้ได้จะต้องเป็นคนที่ต้องการจะเป็นคาวบอย (Cowboys) และทำไมถึงต้องใช้เวลา 8 วินาที เพราะกฎกติกากำหนดมาว่าให้ผู้เข้าแข่งต้องทรงตัวอยู่บนหลังวัวที่กำลังพยศภายใน 8 วินาทีโดยห้ามถูกสลัดตกลงมาแต่อย่างใด ซึ่งนักกีฬาพวกนี้จะได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีจากเครื่อง Bull Riding Machine ที่ถูกตั้งให้เหมือนกับวัวจริงๆ ที่กำลังพยศอยู่ แต่จะต่างกันตรงที่ของจริงหากนักกีฬาตกจากหลังวัวจะทั้งถูกขวิดถูกโจมตีอย่างรุนแรง ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเคยมีผู้เสียชีวิตมาแล้วจากการโดนวัวที่กำลังพยศโจมตีใส่หลังจากหล่นมาจากด้านบน

เมื่อขึ้นไปอยู่บนหลังวัวนักกีฬาจะต้องกำเชือกและทรงตัวอยู่บนนั้นให้ครบตามเวลาที่กำหนดโดยอุปกรณ์หลักๆจะมีเชือกที่ใช้รัดกับกระดึงวัวที่ทำหน้าไว้ยึดน้ำหนักของนักกีฬาและจะมีสารเหนียวที่ช่วยในการจับเชือกให้แน่นยิ่งขึ้นนอกจากนี้นักกีฬายังเอาเชือกพันไว้รอบวัวและส่วนที่เหลือมักจะพันให้แน่นกับมือตัวเองแม้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ก็เป็นกีฬาที่ให้ค่าตอบแทนคุ้มค่าซึ่งนักกีฬามืออาชีพจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ประมาณ 4,680,750 ล้านบาท) แต่มีครั้งหนึ่งที่ Renato Nunes (เรนาโต้ นูนเซญ) นักกีฬาจากประเทศบราซิลและเป็นนักกีฬาขี่วัวพยศอันดับต้นๆ ของโลก เคยทำเงินต่อปีได้มากที่สุดถึง 1,594,527 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 49,765,187 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากหากนับเวลาแค่ 8 วินาทีที่ต้องต่อสู่อยู่บนหลังของวัว

 

F5 Climbing Center

Free Running

Free Running

Free Running

ในบรรดากีฬาทั่วโลกมีกีฬามากมายหลายชนิดด้วยกัน และก็มีกีฬากลุ่มหนึ่งที่เน้นเรื่องผาดโผนโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น จักรยาน BMX, สเก็ตอบอร์ด, เจ็ตสกี และการปีนป่ายไปยังสถานที่ต่างๆ แต่ยังมีกีฬาเอ็กสตรีมชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยกีฬาประเภทนี้มาโด่งดังเป็นอย่างมากหลังจากภาพยนตร์เรื่อง District B13 ออกฉายเมื่อปี 2004 ภายในภาพยนตร์มีการใช้ Free Running หลายฉากทำให้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้น

ซึ่ง Free Running มีการปรับเปลี่ยนมาจาก Parkour (ปาร์กัวร์) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส ทั้งสองอย่างเป็นกีฬาที่มีความคล้ายคลึงกันโดย Parkour จะเน้นการวิ่งเป็นเส้นตรงและพยายามใช้ร่างกายไปยังเป้าหมายให้ไวที่สุด โดยต้องผ่านสิ่งกีดขวาง ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญคือความแข็งแรงของร่างกายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแขน, ขาและลำตัวเพราะหากพลาดมาอาจจะทำให้บาดเจ็บถึงขั้นนอนโรงพยาบาลเลยก็มี

Free Running

ทีนี้ Free Running ก็มีการแผลงมาจาก Parkour แต่ Free Running จะมีการใส่ทวงท่าเข้าไปในการวิ่งการปีนป่ายไปยังที่ต่างๆ ท่าทางก็จะมีทั้ง ตีลังกาหน้า, ตีลังกาหลัง, บิดตัวคล้ายกับนักยิมนาสติก ซึ่ง Free Running ไม่ได้มีกฎเกณฑ์เหมือนอย่าง Parkour อาจจะบอกได้ว่า Free Running คือการวิ่งทำท่าทางให้เป็นอิสระ ไม่จำกัดว่าต้องวิ่งไปทางไหนหรือตรงไหน แต่จะเน้นทวงท่าลีลาในการปีนป่ายในการกระโดดมากกว่า โดยจะเน้นความคิดสร้างสรรค์ของผู้เล่น ในการแสดงออกมาจึงทำให้ Free Running เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากกว่า Parkour

การเตรียมตัวจะเล่น Free Running ต้องเตรียมอะไรบ้าง อย่างแรกเลยคือร่างกายให้แข็งแรงเพราะอย่างที่บอกไป Free Running เป็นกีฬาที่เน้นการปีนป่ายเน้นทวงท่าลีลาผู้เล่นต้องมีแขนและขาที่แข็งแรงพอสมควรเสื้อผ้าต้องใช้ให้กระชับกับร่างกายเพราะในการปีนป่ายอาจจะมีบางครั้งที่ชุดมักจะไปเกี่ยวเข้ากับสิ่งของอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมนั้นก็ไม่มีอะไรมากถ้าหากเป็นกลุ่มที่เป็นมืออาชีพมักจะไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัวใด

แต่หากเป็นมือใหม่อาจจะมีทั้งสนับเข่า, สนับศอก หรือแม้กระทั่งหมวกสวมใส่กันกระแทก เพื่อกันในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ อีกอย่างคือรองเท้าเพื่อกันเวลาไปเหยียบกับสิ่งของในสถานที่ต่างๆ ทีนี้ Free Running ก็มีการจัดการแข่งขันขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยรายการที่เป็นที่รู้จักมากในวงการ Free Running คือรายการ Red Bull Art Of Motion ที่จัดการแข่งขันโดย Red Bull เริ่มต้นครั้งแรกในปี 2007 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และได้รับการตอบรับจากบรรดาผู้เข้าแข่งขัน Free Running เป็นอย่างดี โดยการแข่งขันยังคงมีการจัดมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในปี 2020 ไม่มีการจัดการแข่งขันขึ้นเนื่องจากภาวะโรคระบาดไวรัสโควิด – 19 และผู้ที่ได้แชมป์รายการนี้มากที่สุดคือ Pavel Petkuns จากลัตเวียกับ Jason Paul จากเยอรมนีที่ได้เหรียญทองไปคนละ 3 ครั้งเท่ากัน

สำหรับกีฬา Free Running ในประเทศไทยนั้นถือว่าได้รับความนิยมอยู่พอสมควร โดยคนที่มีชื่อเสียงกับกีฬาชนิดนี้คือ อนัน อันวา อดีตนักร้องชื่อดังที่หันไปเอาดีทางด้านนี้ และมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในฐานะนักกีฬา Free Running ที่มีชื่อเสียงในวงการ รวมถึงมีการตั้งทีมชื่อว่า ทีมฝรั่ง “Team Farang” เข้าแข่งขันรายการต่างๆ นอกจากนี้ยังได้รับเชิญให้ไปเป็นคณะกรรมการตัดสินในการแข่งขัน Red Bull Art Of Motion 2014 มาแล้วสำหรับกีฬาประเภทนี้หากใครสนใจอยากจะลองเล่นก็ควรศึกษาข้อมูลให้ดีเสียก่อนทั้งสถานที่และอุปกรณ์ที่ต้องใช้รวมถึงความพร้อมของร่างกายให้แข็งแรงจะไม่ได้เกิดอุบัติเหตุระหว่างเล่น

 

# อินไลน์สเกต อีกหนึ่งกีฬา Extreme สุดฮิต