Archives 29 พฤศจิกายน 2020

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

ไม่ว่ากีฬาประเภทไหน สนามแข่งขันนั้นก็ถือเป็นจุดมุ่งหรืออาจเป็นความฝัน เป็นเป้าหมายของ รวมถึงอาจจะเป็นความฝันของนักกีฬาประเภทนั้น ๆ  ที่อยากจะไปลงทำการแข่งขัน อย่างเช่นถ้าเป็นนักวิ่ง ก็ยากไปวิ่งเบอร์ลิน หรือลอนดอนมาราธอนสักครั้ง หรือถ้าเป็นนักปั่นจักรยาน ก็คงอยากไปแข่งขันสนาม ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ส่วนสำหรับนักบิดสายลุยฝุ่นอย่างจักรยานยนต์ MOTOCROSS นั้นมีสนามไหนกันบ้างที่เป็นที่สุดสำหรับนักบิดจักรยานยนต์วิบากลองมาดูกัน

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนาม Arenacross

สนามในร่ม Arenacross ถูกออกแบบให้เป็นสนามแข่งที่มีแต่โคลนที่เฉอะแฉะ และสกปรก มีแท่นกระโดดที่สูง 3 ขั้นรวมทั้งสิ่งกีดขวาง และอุปสรรคนานัปการ โดยสนามนี้เริ่มจัดการแข่งขันเมื่อปี 1970 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการแข่งขันรายการนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย และสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมที่อยู่บนอัฒจันทร์ ที่แทบจะเต็มความจุทุกครั้งที่มีการแข่งขัน

 

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนาม Scheveningen beach

สนามนี้เป็นสนามเลียบชายหาด Scheveningen ในประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นชายหาดที่มักมีนักท่องเที่ยวไปเดิน เล่น อาบแดด และว่ายน้ำแล้ว ชายหาดแห่งนี้ยังเปลี่ยนให้เป็นสนามแข่ง MOTOCROSS ชายหาด ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งแต่ละรอบนั้นก็เป็นรอบยาว โดยนักบิดที่ทำการแข่งขันมีทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ ซึ่งการแข่งขันนั้นในแต่ละปีมีการจัดการแข่งขันหลายครั้งแต่ในบางปีก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ชายหาด Scheveningen ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Hague เป็นอีกหนึ่งสนามที่นักแข่ง MOTOCROSS ทั้งหลาย อยากไปสัมผัสความมันกันสักครั้ง

 

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนาม Thunder Valley Park

Thunder Valley Park นั้นตั้งอยู่ในเมือง เดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ Thunder Valley Motocross Park เริ่มสร้างเมื่อปี 1999 และเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการ AMA Pro Motocross National ในปี 2005 ซึ่งหลังจากนั้นสนามนี้ก็กลายเป็นสนามที่กลายเป็นที่นิยมของเหล่านักบิด MOTOCROSS เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงฤดูร้อนของปีจะคลาคล่ำไปด้วยเสียงแผดของมอเตอร์ไซค์วิบากรวมถึงนักบิดและช่างเครื่องเป็นจำนวนมาก

 

สนาม GLEN HELEN สหรัฐอเมริกา

สนามแข่ง MOTOCROSS แห่งนี้นั้น เป็นสนามที่มีจุดเด่นตรงที่เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางของหุบเขา Helens ใน แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีความลาดชันให้โดดกันอย่างเร้าใจ และค่อนข้างที่จะโหดเป็นอย่างมาก สนามนี้จัดการแข่งขันให้กับนักบิดมือใหม่ รวมไปถึงนักบิดมืออาชีพ และยังเป็นสนามที่ใช้จัดการแข่งขันรายการนานาชาติอย่างรายการ Superfast Grand Prix มาแล้ว

 

สนาม ERNEE ประเทศฝรั่งเศส

สนามแห่งนี้จะว่าเป็นสนามที่เก่าแก่ของโลกอีกสนามหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1972 และยังสามารถจุจำนวนผู้เข้าชมได้ถึงประมาณสี่หมื่นกว่าคน  โดยได้รับหน้าที่จัดรายการแข่งขันใหญ่ ๆ อย่าง Motocross of Nations และรายการ FIM World Motocross events รวมไปถึงยังเป็นสนามสำหรับการชิงแชมป์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย

 

สนาม Unadilla

เป็นสนามที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของนิวยอร์ค การออกแบบสนามนั้น มีอุปสรรคให้ฝ่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ก้อนหินใหญ่ หรือบ่อลึกว่ากันว่าถ้าไม่เตรียมตัวมาดี ๆ แล้วถ้าพลาดมาอาจถึงตายได้

# 4โมโตครอส – เอ็นดูโร่ ที่ที่น่าสนใจ ไปไหนไปกันได้ทุกเส้นทาง

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

สำหรับจักรยานยนต์โมโตครอสที่มีไว้สำหรับ ออกทริป ไปผจญภัยในเส้นทางวิบาก ถิ่นธุระกันดาร หรือเอาไว้แข่งขันกันในสนามนั้น นักบิดลุยฝุ่นไม่ว่าจะมือสมัครเล่น หรือสายอาชีพนั้นก็มักจะมีรถคู่ใจกันอยู่แล้ว แต่ถ้าใครเป็นมือใหม่หัดลุย หรือถ้าใครกำลังคิดจะเปลี่ยนรถนั้นค่าย Kawasaki นั้นก็น่าจะสนใจไม่น้อยโดยทาง Kawasaki นั้นได้เปิดตัวสองรุ่นสายลุย อย่าง KLX 230 R กับ KLX 300 ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้เหมาะที่จะเป็นคู่ใจในการออกทริป หรือแข่งขันเท่านั้น เพราะไม่สามารถจดทะเบียนกับขนส่งได้ ส่วนรายละเอียดรถนั้นลองมาดูกันเลย

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

Kawasaki KLX 230 R

เป็นมอเตอร์ไซค์วิบาก ที่ให้มาตรฐานการผลิต และใช้เฟรมเดียวกับ รุ่น KLX 230 กับ KLX 230 ABS S ที่ได้เปิดตัวออกมาพร้อมกัน เป็นเครื่องยนต์ ขนาด 1 สูบ 230 CC โดยตัวรถนั้นถูกออกแบบมาใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ หรือเครื่องยนต์ ซึ่งเน้นให้ปราดเปรียว กะทัดรัดคล่องตัว และเหมาะกับทางวิบากทุกรูปแบบ โดยเฉพาะทางฝุ่น โดยแซสซี เป็นแบบ perometer ซึ่งทำให้ตัวจักรยานยนต์นั้นมีน้ำหนักเบา ซึ่งตัวรถนั้นถ้าพิจารณาให้ดีจะมีความกระชับกว่า รุ่น KLX 230 กับ KLX 230 ABS S และไม่มีไฟหน้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำหรับรถวิบากอยู่แล้ว

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

การรองรับแรงกระแทกนั้นเป็นโช๊คแกน 37 มิลลิเมตรในรูปแบบของเทเลสโคปิค มาพร้อมกับโช๊คเดี่ยวระบบแก๊สที่ปรับได้ ในส่วนเรื่องความปลอดภัยในระบบเบรกนั้นเบรกหน้าเป็นจานเบรก 240 มิลลิเมตร คาลิเปอร์สองลูกสูบ และกระปุกน้ำมันเบรก ทางด้านเบรกหลัง เป็นจานเบรก 220 มิลลิเมตร คาลิเปอร์หนึ่งลูกสูบ สำหรับรายละเอียดส่วนอื่น ๆ ก็มีดังนี้ น้ำหนักรถอยู่ที่ 115 กิโลกรัม ความสูงของรถอยู่ที่ 120 เซนติเมตร ความสูงของเบาะ 92 เซนติเมตร ความยาว 84 เซนติเมตร ระยะช่วงล้อ 136 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 30 เซนติเมตร ความกว้าง 204 เซนติเมตร

 

Kawasaki KLX 300

ถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์วิบากตัวท๊อปของ Kawasaki ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่สวยงามโฉบเฉี่ยวทะมัดทะแมง เครื่องยนต์ที่แรง และช่วงล่างที่หนึบแน่น การบังคับคล่องตัวซึ่งถ้าหากนักบิดได้เห็นคงต้องอยากสัมผัสกันทุกคน

ความงามและดีไซน์ของตัวรถนั้นก็คงเอกลักษณ์ของ KX โดยหน้าตาก็ถอดมาจาก KX 450  ไม่ว่าจะเป็นเบาะตัวถังเฟรมโดยการออกแบบนั้นจะเน้นท่านั่งให้นักบิดบังคับหนีบรถได้อย่างถนัด

เครื่องยนต์นั้นก็มีความแรงในระดับถึง 292 CC เครื่องยนต์หนึ่งสูบ ใช้ของเหลวระบายความร้อน และสามารถปรับแต่งความแรงให้เหมาะกับการใช้งานได้

ระบบรับแรงกระแทกโช๊คหน้านั้นเป็นแกนเทเลสโคปิค 43 มิลลิเมตร โช๊คหลังเป็นโช๊คแก๊ส ที่สามารถปรับแต่งได้เต็มที่ ส่วนในระบบเบรกหน้านั้น เป็นสองลูกสูบคาลิปอร์ มาพร้อมขนาดจาน 270 มิลลิเมตร ส่วนเบรกหลังนั้นเป็นคาลิปอร์หนางลูกสูบ โดยที่จานเบรกนั้นอยู่ที่ 240 มิลลิเมตร ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้น น้ำหนักรวมตัวรถ 128 กิโลกรัม จากพื้นไปถึงใต้ท้องรถ 30.5 เซนติเมตร ความสูงของเบาะ 92.5 เซนติเมตร ความสูงของรถ 125 เซนติเมตร ระยะล้อ 143 เซนติเมตร ความยาว 82.5 เซนติเมตร ความกว้าง 212 เซนติเมตร

ส่วนทางด้านราคานั้นในรุ่น Kawasaki KLX 230 R อยู่ที่ 125,000 บาท และ Kawasaki KLX 300 อยู่ที่ 20,0000บาท หากใครคิดว่าตัวเองเหมาะที่จะใช้รุ่นไหนนั้น ก็พิจารณากันได้ตามใจชอบ แต่ทำสำคัญรถจักรนยานยนต์วิกบากทั้งสองรุ่นนี้ ไม่เหมาะที่จะเอาไว้เป็นพาหนะในการเดินทางหรือใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นรถที่มีไฟหน้า และไม่สามารถจดทะเบียนกับทางขนส่งได้ นั่นอาจจะทำให้ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งเวลาขับขี่ตอนกลางคืน เหมาะสำหรับใช้ออกทริปผจญภัยกับกลุ่มเพื่อนร่วมก๊วน ในตอนกลางวันจะดีที่สุด

 

# เส้นทางวิบากที่ว่าดีที่สุดในไทย และต่างประเทศ

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

ถ้าพูดถึงโมโตครอส ระดับพรีเมี่ยมแล้วเชื่อว่าผู้ที่ชื่นชอบรถวิบากสายลุย คงมีรถในดวงใจกันอยู่หลายรุ่นหลายยี่ห้อ ซึ่งค่ายต่าง ๆ ก็ทำออกมาสู่ตลาด โดยแต่ละค่ายนั้น ก็มีเทคโนโลยี จุดเด่น รูปทรง และราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละค่ายนั้นมีรุ่นอะไรกันบ้าง เราจึงรวบรวมกันมาให้ดูกัน 5 ค่าย ดังต่อไปนี้

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

จักรยานยนต์ MOTOCROSS ของ BMW

สำหรับ BMW ค่ายนี้ ชื่อนี้ การันตีอยู่แล้วเรื่องเทคโนโลยี สำหรับรถใหญ่ในวงการรถหรู หรือรถแข่งระดับโลก หรือบิ๊กไบค์ ที่ออกมาสู่ตลาดอย่างมากมาย แต่สำหรับ MOTOCROSS นั้นก็ยังมีคำถามอยู่เหมือนกันว่าของค่าย BMW จะดีจริงไหม ? บอกเลยว่า ดีจริง โดยเฉพาะรุ่น F 700 Gs ที่เผยโฉมออกมาเมื่อปี 2017 นั้นเป็น MOTOCROSS ที่มีแรงม้ามากถึง 7, 300 รอบ/นาที แรงระเบิดอยู่ที่ 77 นิวตัน มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2 สูบ จุดเด่นอีกอย่างของรุ่น BMW F 700 Gs นั้นคือ ความอึด ถึก ลุย และตัวรถนั้นน้ำหนักก็ยังเบาอีกอีกด้วย โดยราคานั้นอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท

 

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

จักรยานยนต์ MOTOCROSS ของค่าย KTM

สำหรับค่าย KTM นั้นหลาย ๆ คนที่ไม่เคยเล่นรถวิบากหรือ โมโตครอส เมื่อได้ยินชื่อค่ายนี้อาจขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะไม่คุ้นชื่อ แต่ในสายโดดสายคลุกฝุ่นนั้นค่าย KTM เป็นค่ายคุณภาพค่ายหนึ่งเลยทีเดียวโดยที่ จักรยานยนต์ MOTOCROSS เกรดพรีเมี่ยมนั้นก็คงจะเป็นรุ่น KTM 1090 Adventure ที่ถูกผลิตออกมาจำหน่ายในปี 2017 โดยเครื่องเครื่องยนต์ที่แรงขนาด 125 แรงม้า ระบบเกียร์ธรรมดา 6 เกียร์ 2 สูบ 4 วาล์ว ราคานั้นก็รุนแรงเช่นกันโดยอยู่ที่ประมาณ 1,000,000บาท กันเลยทีเดียว

 

จักรยานยนต์ MOTOCROSS ค่าย HONDA

HONDA เป็นค่ายรถจักรยานยนต์ที่บ้านเรารู้จักดีมากที่สุด เพราะครองตลาดจักรยานยนต์แทบจะกินขาดทุรุ่นที่ผลิตออกมา เต็มท้องถนนไปหมด แต่สำหรับจักรยานยนต์ MOTOCROSS นั้น HONDA นั้นก็ได้ทำการผลิตเกรดพรีเมี่ยมออกมาสู่ท้องตลาดเช่นกันโดยเป็นรุ่น Honda CRF 250L ที่ผลิตออกมาจำหน่านในปี 2016 เป็นโมโตครอส สายลุยฝุ่นที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ ระดับ 250 CC และรบบหัวฉีด PGM-FI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ HONDA ระบบเบรกหน้านั้นเป็น ดิสเบรก 2 ลูกสูบ เบรกหลัง เป็นดิสเบรก 1 ลูกสูบ ในส่วนราคานั้น ก็จับต้องได้ไม่ยากโดยอยู่ที่ประมาณ หนึ่งแสนกว่าบาทเท่านั้น

 

จักยานยนต์ MOTOCROSS ค่าย Suzuki

เป็นค่ายรถจักรยานยนต์ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งทางการตลาดกับค่าย HONDA ซึ่งจสกทางค่าย Suzuki ผลิตรถจักรยานยนต์ทั่วไปที่เราเห็นกันอย่างคุ้นตา ก็ยังผลิตจักยานยนต์ MOTOCROSS ออกมาในรุ่น Suzuki RM-Z250 standard และได้ผลิตออกมาจำหน่ายเมื่อปี 2016 รูปทรงนั้นดูก็รู้เลยว่าออกแบบมาเพื่อสายลุยโดยเฉพาะ มาพร้อมด้วย เครื่องยนต์ 219 CC ระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ส่วนราคานั้นอยู่ที่ ประมาณเกือบ สามแสนบาทกันเลยทีเดียว

 

จักยานยนต์ MOTOCROSSของค่าย Kawasaki

ค่าย Kawasaki รถในตลาดในบ้านเรานั้นอาจไม่เป็นที่นิยมกันมากนักถ้าเปรียบเทียบกับฮอนด้า หรือซูซูกิแต่ในส่วนของจักยานยนต์ MOTOCROSS นั้นก็ออกทำออกมาได้เหมือนน้อง ๆรถสูตรเลยก็ว่าได้โดยเป็นรุ่น าเรียาดในยhoสามแสนบาทกันเลยทีเดียวงยนต้วยความสงสับเพราะไม่คุ้นชื่อ แต่ในสาย Kawasaki KLX 300 โดยเป็นเครื่องยนต์ 1สูบ 292 CC ระบายความร้อนด้วยของเหลว  ราคานั้นอยู่ที่ประมาณ 300,000

เป็นไงกันบ้างสำหรับข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่เรานำมาฝากกันซึ่งเชื่อว่าหลายๆท่านที่เป็นนักบิดสายลุยอ่านแล้วก็ต้องระงับกิเลสกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียวซึ่งจริงๆแล้วในท้องตลาดยังมีจักยานยนต์ MOTOCROSS ให้ใช้งานกันอีกเยอะมาก ซึ่งใครจะใช้รุ่นไหน ก็คงแล้วแต่ความชอบส่วนตัว ของใครของมัน นั่นเองขอให้มีความสุขกับการขับขี่โดดและลุยฝุ่นกันทุกท่าน

 

Extreme motorsport คืออะไร

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาประเภทไหนถ้าอยากมีความเป็นเลิศในกีฬาประเภทนั้น การทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างมีวินัย คือสิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุด อย่างนักแข่งที่จะเรียกว่าเป็นเทพแห่ง Hard Enduro อย่าง Jonny walker ( ชื่อน่าดื่มมาก ฮ่า)นักบิดสายลุยจากสหราชอาณาจักร ที่เขาก็ต้องมีโปรแกรมฟิตซ้อม เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์พร้อมลงแข่งมากที่สุด โดยเขามีเคล็ดลับ 5 ข้อ มาเปิดเผย มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

1. ฝึกความอึด

เพราะไม่ว่าจะเป็นนักปั่นจักรยาน หรือนักแข่งจักรยนต์วิบาก ความอึด แข็งแรง ปอดที่ใหญ่ทำงานได้ดี ร่างกายที่แกร่ง เพราะการแข่งขัน Hard Enduro ต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงบนทางวิบาก และต้องมีการวอร์มเครื่องยนต์มอเตอร์ถึง 20 นาที การฝึกซ้อมนั้น ถ้าเป็นการออกไปปั่นจักรยานก็ต้องปั่นต่อเนื่องให้ได้ถึง 4 ชั่วโมง แต่ถ้าหากเป็นการวิ่งอย่าไปนับว่าวิ่งได้กี่กิโลเมตร แต่ขอให้ให้วิ่งจนหอบ ซึ่งเขาเองเคยฝึกซ้อมด้วยการปั่นจักรยานครั้งละ ประมาณ 12-15 ไมล์แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

2. ฟิต แอนด์ เฟิร์ม ด้วย สาย TRX

หากใครได้เห็นรูปร่างของ Jonny walker จะเห็นได้ว่ากล้ามเนื้อของเขาชัดเจนไปทุกส่วน หลาย ๆ คนนั้นคิดว่าเขาน่าจะใช้เวลาอยู่ในโรงยิมเพื่อเล่นเวท วันละหลาย ๆ ชั่วโมงเป็นแน่นแท้ ถึงได้ทีรูปร่างขนาดนั้น แต่หากใครคิดเช่นนั้นบอกเลยว่าคิดผิด เขาแทบจะไม่เล่นเวทเลย และถ้าจะเล่นก็เล่นเพียงแค่ 2 ท่าเท่านั้น โดยเขาจะฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้อุปกรณ์เพียงแค่สาย TRX เท่านั้นเอง โดยเขาใช้สาย TRX เพื่อใช้ฝึกแรงต้านจากร่างกาย แทบจะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นขา ลำตัว แขน หน้าอก เป็นต้น และสาย TRX ยังสามารถประยุกต์ใช้ในท่าออกกำลังได้เยอะมาก

3. อย่าฝึกกล้ามเนื้อแขนด้วยการยกดัมเบล หรือยกน้ำหนัก

คนโดยทั่วไปหรือนักแข่งจักรยานยนต์วิบากหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าต้องฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงแขนให้มาก เพราะแขนที่แข็งแรงมีส่วนในการประคองรถ หรือบังคับรถได้ง่ายมากขึ้นแต่  Jonny walker ได้บอกว่าการยกดัมเบลหรือยกน้ำหนักเพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อแขนนั้นไม่ควรที่จะทำเป็นอย่างยิ่ง การที่ไปเพิ่มกล้ามเนื้อช่วงแขนนั้นทำให้ระบบหมุดเวียนของเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงบริเวณแขนนั้นไม่ดี และไม่ทั่วถึง ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อการ ขี่จักรยานยนต์วิบากเลย

4. หลัง และขาที่แข็งแรงมาจากเล่นท่า สควอช ให้มาก

การที่ขา และหลังแข็งแรง เป็นการช่วยให้บังคับรถได้ดีด้วย อย่างเวลาที่ขี่ไปในเส้นทางที่ยืนโก่งตัวในรูปแบบของการขี่ Hard Enduro การเข้าโค้ง ที่ต้องเกร็งหลัง และต้องเหยียดขาออกบ่อย ๆ การออกกำลังกายด้วยท่า สควอช ถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี และเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถล้มการจะดันรถให้ตั้งขึ้นได้นั้นต้องใช้กำลังขา และหลังเป็นอย่างมากยิ่งโดยเฉพาะหากเป็นจักรยานรุ่นใหญ่ ยิ่งลำบาก ความแข็งแรงของขาและหลังจึงสำคัญมาก

5. ออกไปลุย

เพราะการออกไปขี่จักรยานยนต์วิบากคือการฝึกซ้อมที่ดีที่สุด ไม่ว่าทักษะรวมถึงประสบการณ์ที่จะได้ การฝึกกล้ามเนื้อด้วยการเกร็ง เพราะว่าเรารักในกีฬาประเภทนี้ สุดท้ายความสุขที่ได้ ก็คือการออกไปขี่จักรยานยนต์วิบากแล้วออกลุยนั่นเอง

เป็นไงกันบ้างสำหรับเคล็ดลับ 5 ข้อ ของนักแข่งอย่าง Jonny walker หวังว่านักบิดสายลุยหลาย ๆ ท่านได้ประโยชน์กันไม่มากก็น้อย ซึ่งงวิธีการฝึกเหล่านี้ เราก็ยังสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองได้อีกด้วย เพราะเคล็ดลับแต่ละข้อนั้นไม่มีข้อไหนยากเลยเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้

 

# การแข่งรถมอเตอร์ครอสในประเทศไทย เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา