Archives ธันวาคม 2020

Kawasaki KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE

Kawasaki KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE

ในวงการ โมโตครอสในบ้านเรานั้นมีรถหลายค่ายมากมายที่ชาวลุยฝุ่นนั้นนิยมใช้กัน ซึ่งแต่ละค่ายก็มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไปโดยแต่ละยี่ห้อนั้นก็ต่างพัฒนารถของตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อสนองความต้องการของเหล่านักขี่โดยที่ค่ายใหญ่อย่าง Kawasaki ก็ได้พัฒนาโมโตรอส ออกมาอีก 4 รุ่น ที่มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป นั้นก็คือ KLX 230, KLX 230 ABS SE,  KLX 230 R, KLX 300 R โดยทั้ง 4 รุ่นนี้นับว่าเป็นการออกแบบโมเดลใหม่ของ Kawasaki ที่แน่นอนว่ารูปโฉมทั้ง 4 รุ่นนั้นถูกอกถูกใจ สายโดย สายลุยฝุ่นเป็นแน่แท้ โดยทั้งสี่รุ่นนี้ก็ยังแบ่งย่อย ๆ เป็นอีก 2 ประเภท คือรุ่น KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE สามารถจดทะเบียนกับขนส่งได้สามารถให้เป็นพาหนะ ใช้บนถนนได้ แต่ส่วนรุ่น ,  KLX 230 R กับ KLX 300 R นั้นไม่สามารถจดทะเบียนกับขนส่งได้ และสามารถใช้ในการแข่งขันในสนามเท่านั้นโดยบทความนี้เราจะมาพูดถึง KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE กันก่อนว่าพิเศษยังไงและแตกต่างกันยังไง

Kawasaki KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE

KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE ทั้งสองรุ่นนี้ผลิตออกมาด้วยมาตรฐานเดียวกันจะแตกต่างกันตรงออปชั่นต่างๆเท่านั้นโดยทั้งสองรุ่นนี้มีความเป็นอเนกประสงค์คือใช้งานได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการเดินทางใกล้ไกลไปในที่ต่างๆออกทริปท่องเที่ยวทางลูกรังทางวิบากทางเรียบขี่ในเมืองหรือออกนอกเมืองก็ล้วนทำได้อย่างดีเยี่ยม

ซึ่งรูปโฉมของทั้งสองรุ่นนี้ก็ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดทั้งเครื่องยนต์ใหม่เฟรมใหม่ในด้านเครื่องยนต์ทั้ง KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE นั้น มีความแรงอยู่ระดับ 233 CC .1 สูบ 4 จังหวะ ระบบหัวฉีด ระบบระบายความร้อนนั้นก็ระบายด้วยอากาศ ซึ่งดูเหมือนว่าทาง Kawasaki นั้นจะเน้นให้รถทั้งสองรุ่นนี้ มีความคล่องตัวสูงเลยดูออกมากะทัดรัดและน้ำหนักเบา เหมาะกับการลุยทุกสถานการณ์

ในส่วนของแซสซีนั้นก็สมดุลลงตัวกับเครื่องยนต์เป็นอย่างดีนอกจากจะผลิตจากเหล็กที่รองรับแรงดึงได้ดีอีกด้วยในส่วนของล้อหน้านั้นก็เป็นขนาด 21 นิ้ว ล้อหลัง 18 นิ้วซึ่งเป็นซี่ลวดและขอบเป็นอะลูมิเนียมมาพร้อมกับยางหนามขี่ลุยด้วยความนุ่มสบายด้วยระบบโช๊คเทเลสโคปิคในด้านหน้าและเป็นระบบโช๊คแก๊สในด้านหลัง

ด้านความปลอดภัยนั้นทาง Kawasaki ให้ความสำคัญในระบบไฟไม่น้อยกว่าส่วนอื่นเนื่องจาก ระบบไฟส่องสว่างถือเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ เพราะอย่าลืมว่า KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE นั้นสามารถขี่ได้บนท้องถนนและขี่กลางค่ำกลางคืนที่หนทางมืดมิดได้เหมือนรถชนิดอื่นๆนั่นเอง

ตัวเรือนไมล์ก็ดูได้ง่ายเพราะเป็นแบบแอลซีดดีระบบฟูลดิจิตอลซึ่งแสดงผลได้อย่างเที่ยงตรงไม่จะเป็นความเร็ว, รอบ, ระยะทาง, ระดับน้ำมัน, เวลา, ตัวบอกสัญญาณไฟ แต่ข้อเสียก็มีนิดเดียวคือไม่แสดงตำแหน่งเกียร์นั่นเอง

มาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่าแล้ว KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE มันแตกต่างกันตรงไหน สิ่งที่แตกต่างกันก็คือระบบเบรกนั่นเอง ถึงแม้ว่าทั้งสองรุ่นนี้จะใช้เบรก คาลิเปอร์หน้าในระบบสองลูกสูบ แต่จานเบรกนั้นมีขนาดที่แตกต่างกัน โดยที่ KLX 230 ใช้จานขนาด 265 mm ส่วน KLX 230 ABS SE ใช้จานขนาด 240 mm และเป็นระบบ ABS ส่วนเบรกหลังนั้นเหมือนก็คือเป็นคาลิเปอร์หนึ่งลูกสูบ และจานขนาด 220 mm

สรุปแล้ว KLX 230 กับ KLX 230 ABS SE นั้นเหมือนกันแทบจะทุกอย่าง มีแตกต่างกันก็เพียงแค่เบรกหน้าเท่านั้น หากใครจะเลือกใช้รุ่นไหนก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน แต่รับรองได้ว่าขี่มันทั้งคู่แน่นอน

 

# จักรยานยนต์ทรงรถวิบากมีกี่แบบ

จักรยานยนต์ทรงรถวิบากมีกี่แบบ

จักรยานยนต์ทรงรถวิบากมีกี่แบบ

หากใครอยากจะเปลี่ยนแนว หรือลองไปใช้จักรยานยนต์วิบาก บางทีก็อาจจะงงพอสมควรควรว่าจริง ๆ แล้วจักรยานยนต์วิบากนั้นมีกี่แบบ มีแบบไหนบ้าง และควรใช้แบบไหนดีจึงจะเหมาะกับตัวเอง หากคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับวงการรถจริง ๆ จัง ๆ ก็อาจจะมองมองว่ารถจักรยานยนต์วิบากนั้น เหมือน ๆ กันหมด ทั้งรูปทรงอะไรต่าง ๆ แทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วจักรยานยนต์วิบากที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น แบ่งได้เป็น 3 แบบหลัก ๆ ด้วยกัน ก็คือ ทรงโมโตครอส ทรงโมตาร์ด และทรงเอ็นดูโร่ ซึ่งทั้ง 3 รูปทรงนี้ ก็มีรายละเอียดของตัวรถ รวมไปถึงการใช้งานที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันพอสมควรควร แต่จะแตกต่างกันตรงไหน ก็มีดังนี้

จักรยานยนต์ทรงรถวิบากมีกี่แบบ

รถจักรยานยนต์วิบาก ทรงโมโตครอส (Motocross)

รูปแบบของจักรยานยนต์ โมโตครอสนั้น จุดเด่นของรูปทรงจะอยู่ที่ความเล็ก ปราดเปรียว เบา กะทัดรัด เหมาะสำหรับสายเน้นลุยไปในเส้นทาง โหด ๆ ปีนป่าย หรือท่องไปตามเส้นทางธรรมชาติ ปีนข้ามท่อนไม้ กิ่งไม้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย หรือใช้ลงทำการแข่งขันในสนามก็ยังเป็นที่นิยมกันไม่น้อย แต่ที่ไม่เหมาะสำหรับรถ Motocross เป็นอย่างยิ่งก็คือการใช้เป็นพาหนะประจำวัน หรือออกทริปไกล ๆ เพราะจักรยานยนต์ Motocross นั้นถูกออกแบบมาให้น้ำหนักเบาที่สุด บางส่วนของรถจึงถูกตัดออกไปเช่น ไฟส่องสว่างด้านหน้า สัญญาณไฟท้าย ไฟเลี้ยว แตรรถ แผงหน้าปัดที่คอยบอกสถานะต่าง ๆ นั่นก็จึงทำให้ไม่สามารถจดทะเบียนรถกับขนส่งได้อีกด้วย ในส่วนจุดเด่นของจักรยานยนต์ Motocross นั้นก็คือยางที่ใหญ่ดอกยางเป็นตุ่มหนาเพื่อให้พร้อมสำหรับการลุยไปทุกเส้นทางไม่ว่าเส้นทางที่ลื่นบนพื้นหินเส้นทางดินลูกรังลุยฝ่าโคลนหรือจะเอาไปปั่นทรายก็สามารถทำได้ดีเป็นอย่างมาก

รถจักรยานยนต์วิบากรูปแบบ ทรงโมตาร์ด (Motard)

สำหรับรถจักรยานยนต์วิบากแบบ Motard เป็นจักรยานสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ ที่ชอบความโดดเด่นด้านการขับขี่ที่พร้อมจะลุย ทุกสถานการณ์ เพราะจักรยานยนต์วิบากทรง Motard นั้นสามารถใช้ขับขี่เป็นยานพาหนะประจำวันได้ ออกทริปไกล ๆ ได้เพราะมีอุปกรณ์ทุกอย่างในรถครบทุกอย่างตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว โดยการออกแบบของรถนั้น จะเน้นให้ใช้บนเส้นทางที่เรียบเพราะยางสำหรับรถจักรยานยนต์ Motard จะไม่ใหญ่ และดอกยางหนาเหมือนรถโมโตครอส นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่รถในรูปแบบนี้อาจทำไม่ดีนักในการวิ่งในเส้นทาง ลุยโคลน พื้นดิน หรือฝ่าไปในเส้นทางธรรมชาติ เหมือนอย่างที่รถ Motocross ทำได้ แต่ช่วงล่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่แข็งแกร่ง เพราะยังคงเป็นมาตรฐานเดียวกับจักรยานยนต์ออฟโรด ที่ค่อนข้างจะมีความอเนกประสงค์ในทุกเส้นทาง โดยเฉพาะการเดินทางไกล

 

รถจักรยานยนต์วิบาก ทรงเอ็นดูโร่ (Enduro)

จักรยานยนต์ Enduro ถือเป็นจักรยานยนต์วิบากที่ครบเครื่องมากที่สุด เพราะเป็นการผสมผสาน ความปราดเปรียว คล่องตัว บุกฝ่าได้ทุกเส้นทางไม่ว่า จะเป็นทางดิน ทางโคลน ทางธรรมชาติ ในรูปแบบของจักรยานยนต์ Motocross เข้ากับการใช้งานบนเส้นทางเรียบ การใช้เป็นพาหนะประจำวัน รวมถึงการออกทริปไกล ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหาในรูปแบบ ของจักรยานยนต์แบบ Motard โดยจักรยานยนต์ ทรงเอ็นดูโร่นั้น สามารถจดทะเบียนกับขนส่งได้เพราะมีสเปกรถได้มาตรฐาน ทั้งไฟหน้า ๆ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และแผงหน้าปัดที่บอกสถานะต่าง ๆ ได้ทั้งหมด ในส่วนของยางนั้น ก็เป็นยางสำหรับรถวิบากโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นความใหญ่ และหนาของยาง ดอกยางที่ดก และถี่ นั่นจึงทำให้รถจักรยานยนต์เอ็นดูโร่นั้น เป็นที่นิยมมาก เพราะความสารพัดประโยชน์นั่นเอง หากใครรักการลุยฝุ่น พร้อมกับความเป็นพาหนะคู่ใจ ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน จักรยานยนต์เอ็นดูโร่คือคำตอบที่ดีที่สุด

 

# Kawasaki KLX 230 R

อุปกรณ์อุปโภคบริโภคที่ต้องมีแล้วการเล่นสกีจะดีเวอร์

อุปกรณ์อุปโภคบริโภคที่ต้องมีแล้วการเล่นสกีจะดีเวอร์

      หากจะออกไปเล่นสกีนั้นเราต้องเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องไม่เจ็บป่วย หรือมีร่างกายที่ผิดปกติใด จึงะทำให้การเล่นสกีนั้นเป็นไปได้ด้วยดี และนอกจากการเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อมแล้ว นอกเหนือจากนี้เรา็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมด้วยเช่นกัน เผื่อไปเล่นสกีในระะทางที่ไกล ดังั้นจึงต้องเตรียมทั้งของอุปโภค บริโภคให้พร้อม ซึ่งเรามาดูกันเลยดีกว่าอุปกรณ์ที่เราควรที่จะเตรียมไปนั้นมีอะไรบ้าง แต่ขอบอกก่อนว่าอุปกรณ์แต่ละอย่างนั้นที่ไม่ถึงกับต้องมีครบถ้วนทุกอย่างเสมอไป แต่ถ้าหากเตรียมให้มีไว้บ้างก็จะทำให้การเล่นสกีนั้นเป็นไปได้ด้วยดีอย่างยิ่งเลยทีเดียว เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาดูกันเลยว่ามีอะไรกันบ้าง

อุปกรณ์อุปโภคบริโภคที่ต้องมีแล้วการเล่นสกีจะดีเวอร์

     อันดับแรกเลยก็คือ เจ้า Hip Protector นั่นเองซึ่งลักษณะของมันจะมีรูปร่างเหมือนกางเกงรัดรูปขาสั้นที่ใส่กันโดยทั่วไป แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือมีฟองน้ำหนาบุรอบสะโพกและก้นของผู้สวมใส่ ซึ่งสิ่งที่เพิ่มขึ้นมานี้มันจะช่วยลดแรงกระแทกและความเจ็บปวดแก่ร่างกายในขณะที่เราล้มถ้าหากไม่มีเจ่าตัวนี้คอยเป็นที่ป้องกันอยู่ เมื่อเราล้มก้นจ้ำเบ้าได้นั่นเอง โดยส่วนมากก็จะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งหัดเล่นสกีที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อนเป็นการเซฟตี้จึงควรมี Jip Protecter ไว้นั่นเอง

     ต่อไปนั่นก็คือกระเป๋าตังค์ที่มีขนาดกระทัดรัดมีใบขนาดเล็กๆ ที่พกพาได้สะดวกสบาย ซึ่งถ้าหากเรานั้นมีกระเป๋าตังคเล็กๆซึ่งมีขนาดที่ใส่ในกระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงได้อย่างพอดี จะทำให้มีความสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม หากถึงเวลาที่เราต้องการซื้อเครื่องดื่มหรือของว่างเพื่อไว้ทานให้อยู่ท้องเล็กๆน้อยๆก็นำมาใส่ในกระเป๋าใบเล็กๆนี้ทำให้ไม่เกะกะเวลาเล่นสกีนั่นเอง หนทางการแก้ปัญหามีเพียงนิดเดียวอยู่ที่เราจะเรียนรู้ไปกับมัน

     ลำดับต่อมาที่ควรมีนั่นก็คือ ซิปล็อคกันน้ำ

ความสำคัญของซิปล็อคกันน้ำนั่นก็คือ จะช่วยป้องกันอันตรายแล้วป้องกันความเสียหายให้กับโทรศัพท์มือถือของเรานั่นเอง เมื่อเวลาที่มีเกร็ดหิมะมาเกาะตรงกระเป๋าใส่โทรศัพท์ก็จะทำให้โทรนั้นเกิดความชื้น ดังนั้นหากเรามีซิป็อคกันน้ำก็จะช่วยปกปิดโทรศัพท์ได้อีกชั้นนึงนั่นเอง ซึ่งป้องกันความเสียหายได้มากกว่าเก่าเลยทีเดียว

     ต่อไปต่อคือ ขนมเล็กน้อย

สำหรับขนมนั้นเราจะพกหรือไม่พกติดตียไปก็ได้แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน แต่ถ้าหากเราเริ่มเล่นสกีเมื่อไหร่แน่นอนว่าเราต้องเล่นในระยะที่ไกลอย่างแน่นอน แล้วกว่าเราจะเดินไปเป้าหมายหรือจุดพักที่ตั้งเป้าไว้ก็ใช้เวลาที่นานอยู่พอสมควร ดังนั้นการพกขนมเล็กๆน้อยๆก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ขนมที่พกไปอาจเป็นจำพวกพช็อกโกแลตแท่ง ขนมต่างๆ ขนมธัญพืช หรือซีเรียลแท่งเอาไว้เติมพลังให้กับร่างกายจนถึงจุดหมายปลายทางกันค่ะ

     สำหรับสิ่งสุดท้ายที่ควรจะพกไปนั่นก็คือ ครีมกันแดด และลิปมัน

หลายคนอาจจะสงสัยว่าไปเล่นสกีในสภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำไมจึงต้องใช้ครีมกันแดด นั่นก็เพราะว่า ต่อให้แดดไม่ออก แต่แสงอาทิตย์และรังสียูวีก็ส่องทะลุเมฆลงมาได้อยู่ดี และแสงนี้ก็ทัลุผ่านมาได้ทุกทาง่นเอง เพื่อเป็นการถนอมผิดก็ควรทาไว้ ป้องกันผิวแห้งของเราได้อีกด้วย และสำหรับลิปมันนั้นก็มีไว้เพื่อทาริมฝีปากเมื่ออากาศหนาวเย็นก็จะทำมให้ปากของเรานั้นซีดชาแลพฝะแ้งเแามากๆ ดังนั้นจึงต้องพกไปด้วย

ปล่อยโปสเตอร์แล้ว กับ 2IN1 SUPERTOURNAMENT