Archives พฤศจิกายน 2020

ประวัติกีฬาแคนู คายัคสู่การแข่งขันในประเทศไทย-03

ประวัติกีฬาแคนู คายัคสู่การแข่งขันในประเทศไทย

ประวัติกีฬาแคนู คายัคสู่การแข่งขันในประเทศไทย

     ไม่ว่าจะเป็นกีฬาใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นมาในโลกของเรานั้นย่อมมีประวัติความเป็นมาด้วยกันทั้งสิ้น ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นด้วยวัตถุประสงค์อะไร แต่ละประเภทกีฬามีจุดเริ่มต้นมาจากที่ใดประเทศอะไร และ ทำไมถึงได้เกิดเป็นกีฬาให้เราได้รู้จักกันในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามย่อมมีเหตุและผลของมันเสมอ วันนี้เราจะมานำเสนอถึงประวัติความเป็นมาของกีฬาชนิดหนึ่งที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่มีข้อดีต่างๆมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งให้ความสุข ความสนุกสนาน ความเพลินเพลิน ความท้าทาย การได้เปิดโลกกว้าง และที่สำคัญที่สุดคือการทำให้สุขภาพร่างกายของเรานั้น แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันในการป้องกันโรคร้ายที่จะเกิดขึ้น กีฬาที่กล่าวมานี้นั่นก็คือกีฬาพายเรือแคนูคายัคนั่นเอง ซึ่งมีประวัติความเป็นมาอย่างไร วันนี้เราจะมาบอกให้ทุกคนได้ทราบกัน

https://www.google.co.th/url?sa=i&url=https%3A%2F%2Fwww.khaosod.co.th%2Fsports%2Fnews_1464002&psig=AOvVaw12yFydohezLBmSUBGcS9fW&ust=1606798589855000&source=images&cd=vfe&ved=0CAIQjRxqFwoTCJjUpKu9qe0CFQAAAAAdAAAAABAF

     สำหรับประวัติของเรือแคนูคายัคนั้นมีมายาวนานแสนนาน หลายยุคหลายสมัย หลายชั่วคนตั้งแต่บรรพบุรุษตกทอดมาจนถึงลูกหลานในปัจจุบัน ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ครั้งสมัยหลายพันปีก่อนยุคประวัติศาสตร์ซะอีก มีจุดเริ่มต้นมาจากบุคคลๆหนึ่งซึ่งเป็นชาวอินเดียแดง เข้าได้คิดค้นเรือแคนูคายัคโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการใช้ในการคมนาคม การติดต่อระหว่างกัน และจุดประสอื่นๆคือยุคนั้นใช้เรือแคนูคายัคในการทำการสงคราม และเพื่อการค้าขายกระตุ้นเศรษฐกิจนอกจากนี้ยังใช้เป็นยานพาหนะในการออกไปล่าสัตว์มาบริโภคบำรุงเลี้ยงชีพ ซึ่งเรือแคนูคายัคนั้นถูกสร้างขึ้นมาหลายลักษณะด้วยกัน ความแตกต่างของแต่ละลำนั้นก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งานและสภาพแวดล้อมโดยรอบของที่ตั้งถิ่นฐาน ซึ่งจากการคิดค้นในครั้งนั้นทำให้เรือแคนูคายัคแพร่กระจายไปในหลายๆประเทศ อย่างเช่นประเทศนิวซีแลนด์ ได้สร้างเรือแคนูคายัคโดยชาวเมารี ซึ่งได้ใช้หนังกวางมาทำเรือ และใช้กำลังคนถึง80คนด้วยกัน ต่อมาเรือแคนูคายังได้มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดชาวอังกฤษคนหนึ่งได้สร้างเรือแคนูคายัคที่มีฝาปิดคลุมกันนำเข้าออกบริเวณตัวเรือ จนกระทั่งปีค. 1556 เรือแคนูคายัคได้จัดให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งโดยให้มีการแข่งขันเกิดขึ้น

     ในเวลาต่อมาหลายๆประเทศก็เริ่มรู้จักกับกีฬาชนิดนี้เพิ่มมากขึ้นรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย และได้มีการจัดระเบียบข้อบังคับต่างๆในการแข่งขันขึ้นมา โดย1ในระเบียบข้อบังคับการแข่งขันเรือแคนูคายัคในขณะนั้นคือ ในแต่ละจะหวัดจะต้องส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันทุกจังหวัด ซึ่งมีทั้งประเภททีมชายและทีมหญิง โดยมีจำนวนสมาชิคในทีมตั้งแต่สามคนขึ้นไปแต่ต้องไม่เกินหกคนโดยมีเกณฑ์ในการตัดสินคือ แต่ละจังหวัดมีการแข่งขันในระดับภาค ผู้ชนะเลิศอันดับที่1และอันดับ2ของแต่ละภาคจะได้แข่งขันต่อในระดับชาติ ซึ่งเป็นการแข่งขันในรอบสุดท้าย และในเวลาต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนกฎกติกาในการแข่งขันต่อมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันนี้

     และสิ่งต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็คือประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกีฬาแคนูคายัค รวมไปถึงจุดหำเนิดของการแข่งขันประเภทนี้ กีฬาแคนูคายัคนับเป็นกีฬาที่มีมาเนิ่นนาน มีประวัติที่บ่งบอกให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน ตั้งแต่เทคโนโลยีการคมนาคมขนส่งยังไม่สะดวกสบายและทันสมัยเหมือนในปัจจุบันนี้ นับเป็นกีฬาที่ควรอนุรักษ์ไว้ให้คงอยู่กับคนรุ่นหลังสืบต่อกันรุ่นต่อรุ่น การเล่นกีฬานั้นนับเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทใดก็ตามต่างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เป็นการฝึกให้มีทักษะสมาธิผ่อนคลายความเครียด และได้ค้นพบความสามารถในอีกมิติหนึ่งของตนเองอีกด้วย

 

# รู้หรือไม่ เรือแคนูกับเรือคายัคต่างกันอย่างไร

ทำขอบวงล้อรถมอเตอร์ไซค์วิบาก ถึงมีจุ๊ดเติมลม 2 จุด

ทำขอบวงล้อรถมอเตอร์ไซค์วิบาก ถึงมีจุ๊ดเติมลม 2 จุด

ทำขอบวงล้อรถมอเตอร์ไซค์วิบาก ถึงมีจุ๊ดเติมลม 2 จุด

สำหรับนักบิดสายลุยป่าหรือลุยฝุ่นไม่ว่าจะเป็นจักรยานยนต์วิบากแบบ โมโตครอสหรือเอ็นดูโร่ นั้นการจะออกทริปลุยแต่ละครั้งนั้นจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องมีการเช็ครถไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกหรือส่วนต่างๆที่ลืมไม่ได้ก็คือวงล้อรวมไปถึงยางเพราะถือว่าว่าเป็นส่วนที่ทำงานหนักไม่แพ้สวนอื่นๆของรถ

ทำขอบวงล้อรถมอเตอร์ไซค์วิบาก ถึงมีจุ๊ดเติมลม 2 จุด

ยางสำหรับรถจักรยานยนต์วิบากทั้งแบบ โมโตครอสและเอ็นดูโร่ นั้น 100% ก็คือยางที่ต้องใหญ่ และหนา ส่วนดอกยางนั้นก็ควรจะถี่ เพราะสามารถยึดเกาะพื้นผิวถนนได้หลายรูปแบบได้ดีกว่าดอกยางที่ถี่ ไม่ว่าจะเป็นการขี่เส้นทางที่เป็นโคลน พื้นดิน ถนนที่ลื่น ดอกยางที่ถี่ก็มักจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่านั่นเอง นอกจากเรื่องการยึดเกาะกับพื้นผิวถนน แล้ว ดอกยางที่ถี่ยังมีส่วนช่วยในการดูดซับการสั่นสะเทือน และแรงกระแทกได้ดี ฉะนั้นอุปกรณ์เสริมสำหรับยางจึงต้องมีและจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าต้องออกทริปไม่สุด แถมยังต้องมานั่งซ่อมหรือเข็นรถอยู่กลางป่าคงทำให้กร่อย และเสียอารมณ์เป็นอย่างมาก

อุปกรณ์เสริมสำหรับวงล้อ และยางที่เรียกกันว่า Rim Lock (รีมล็อค) จึงเป็นตัวช่วยที่เข้ามาเสริม ซึ่งรถจักรยานยนต์วิบากนั้นอาจจะไม่ได้ใช้ความเร็วที่ต่อเนื่องเหมือนรถจักรยานยนต์ทางเรียบ แต่ก็เป็นรถที่ต้องอาศัยรอบเครื่องยนต์ที่มากกว่าแรงม้าพอสมควรในการขับเคลื่อน ยิ่งถ้าไปในทางป่า หรือลุยเส้นทางกันดารมาก ๆ ก็อาจจะทำให้ส่วนของวงล้อกับยางนั้นขยับเคลื่อนตัวได้ ด้วยการใช้งานยางที่หนักขนาดนี้แน่นอนว่าหากวงล้อ และยางเกิดการบิดตัวขึ้นมาก็จะส่งผลไปถึงจุ๊บลมถึงขั้นที่ว่าอาจจะขาดได้เลย เพื่อเป็นการห้องกันเหตการเหล่านั้นจึงต้องใช้ตัว Rim Lock เข้ามาช่วยนั่นเอง

นั่นจึงทำให้คนที่ไม่ใช่นักบิด หรือคนที่กำลังเข้ามาสู่วงการจักรยานยนต์วิบาก ไม่ว่าจะเป็นโมโตครอส หรือเอ็นดูโร่ต่างก็งงและตั้งข้อสงสัย ว่าทำไมวงล้อของยาง ถึงมีจุ๊บเติมลมอยู่สองที่ ซึ่งจริง ๆ แล้วในส่วนของจุ๊บเติมลมนั้นมีเพียงแค่ที่เดียวและตัวเดียวเท่านั้น ส่วนจุ๊บอีกตัวที่เห็นและเข้าใจว่าเป็นจุ๊บตัวที่ 2 แท้ที่จริงก็คือตัวรีมล็อคในการติดตั้งริมล็อคนั้นสามารถมารถที่จะติดตรงไหนก็ได้ของขอบวงล้อบางคนก็ติดเอาไว้ไกลๆกับจุ๊บเติมลมเลยหรือบางคนก็ติดเอาไว้ตรงข้ามกับจุ๊บลมแต่ตรงนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกของนักบิดว่าจะติดตรงไหนและรถวิบากทุกประเภทต้องติดริมล็อคกันแทบจะทุกคันซึ่งตรงจุดนี้ก็เป็นข้อแตกต่างกับรถแข่งประเภทจักรยานยนต์ทางเรียบที่พัฒนาเป็นยางแบบไม่มียางในที่เรียกกันว่ายางจุ๊บเลสและการขับขี่นั้นก็ไม่ได้รับการกระแทกอะไรมากมายนักถ้าเทียบกับจักรยานยนต์วิบากนั่นจึงทำให้จักรยานยนต์ทางเรียบนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ตัวช่วยอย่างริมล็อค

คราวนี้คงทำให้หลายๆคนหายสงสัยกันแล้วว่าทำไมรถจักรยานยนต์โมโตครอสหรือเอ็นดูโรถึงมีจุ๊บลม 2 อัน แต่แท้ที่จริงแล้วมีแค่อันเดียวอีกอันหนึ่งคือริมล๊อค  ส่วนใครที่วางแผนจะลุยจะเข้าป่า แล้วยังไม่ได้ติดตัวริมล็อค ก็ควรจะหามามาติดตั้งที่ล้อไว้ได้แล้ว การติดตั้งก็ไม่ได้ยากอะไร และราคาก็ไม่ได้แพงอีกด้วย ติดไว้ก็สามารถทำให้เราขี่ลุยออกทริปได้อย่างสบายใจ ดีกว่าที่จะเข้าข่าย เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย นะจ๊ะ แล้วจะหาว่าไม่เตือน

 

4โมโตครอส – เอ็นดูโร่ ที่ที่น่าสนใจ ไปไหนไปกันได้ทุกเส้นทาง

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

ไม่ว่ากีฬาประเภทไหน สนามแข่งขันนั้นก็ถือเป็นจุดมุ่งหรืออาจเป็นความฝัน เป็นเป้าหมายของ รวมถึงอาจจะเป็นความฝันของนักกีฬาประเภทนั้น ๆ  ที่อยากจะไปลงทำการแข่งขัน อย่างเช่นถ้าเป็นนักวิ่ง ก็ยากไปวิ่งเบอร์ลิน หรือลอนดอนมาราธอนสักครั้ง หรือถ้าเป็นนักปั่นจักรยาน ก็คงอยากไปแข่งขันสนาม ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ส่วนสำหรับนักบิดสายลุยฝุ่นอย่างจักรยานยนต์ MOTOCROSS นั้นมีสนามไหนกันบ้างที่เป็นที่สุดสำหรับนักบิดจักรยานยนต์วิบากลองมาดูกัน

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนาม Arenacross

สนามในร่ม Arenacross ถูกออกแบบให้เป็นสนามแข่งที่มีแต่โคลนที่เฉอะแฉะ และสกปรก มีแท่นกระโดดที่สูง 3 ขั้นรวมทั้งสิ่งกีดขวาง และอุปสรรคนานัปการ โดยสนามนี้เริ่มจัดการแข่งขันเมื่อปี 1970 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งการแข่งขันรายการนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย และสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมที่อยู่บนอัฒจันทร์ ที่แทบจะเต็มความจุทุกครั้งที่มีการแข่งขัน

 

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนาม Scheveningen beach

สนามนี้เป็นสนามเลียบชายหาด Scheveningen ในประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งนอกจากจะเป็นชายหาดที่มักมีนักท่องเที่ยวไปเดิน เล่น อาบแดด และว่ายน้ำแล้ว ชายหาดแห่งนี้ยังเปลี่ยนให้เป็นสนามแข่ง MOTOCROSS ชายหาด ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งแต่ละรอบนั้นก็เป็นรอบยาว โดยนักบิดที่ทำการแข่งขันมีทั้งมือสมัครเล่น และมืออาชีพ ซึ่งการแข่งขันนั้นในแต่ละปีมีการจัดการแข่งขันหลายครั้งแต่ในบางปีก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ชายหาด Scheveningen ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Hague เป็นอีกหนึ่งสนามที่นักแข่ง MOTOCROSS ทั้งหลาย อยากไปสัมผัสความมันกันสักครั้ง

 

สนามแข่ง MOTOCROSS ที่นักแข่งหลายคนอยากไปสัมผัส

สนาม Thunder Valley Park

Thunder Valley Park นั้นตั้งอยู่ในเมือง เดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่ Thunder Valley Motocross Park เริ่มสร้างเมื่อปี 1999 และเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการ AMA Pro Motocross National ในปี 2005 ซึ่งหลังจากนั้นสนามนี้ก็กลายเป็นสนามที่กลายเป็นที่นิยมของเหล่านักบิด MOTOCROSS เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงฤดูร้อนของปีจะคลาคล่ำไปด้วยเสียงแผดของมอเตอร์ไซค์วิบากรวมถึงนักบิดและช่างเครื่องเป็นจำนวนมาก

 

สนาม GLEN HELEN สหรัฐอเมริกา

สนามแข่ง MOTOCROSS แห่งนี้นั้น เป็นสนามที่มีจุดเด่นตรงที่เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางของหุบเขา Helens ใน แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีความลาดชันให้โดดกันอย่างเร้าใจ และค่อนข้างที่จะโหดเป็นอย่างมาก สนามนี้จัดการแข่งขันให้กับนักบิดมือใหม่ รวมไปถึงนักบิดมืออาชีพ และยังเป็นสนามที่ใช้จัดการแข่งขันรายการนานาชาติอย่างรายการ Superfast Grand Prix มาแล้ว

 

สนาม ERNEE ประเทศฝรั่งเศส

สนามแห่งนี้จะว่าเป็นสนามที่เก่าแก่ของโลกอีกสนามหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1972 และยังสามารถจุจำนวนผู้เข้าชมได้ถึงประมาณสี่หมื่นกว่าคน  โดยได้รับหน้าที่จัดรายการแข่งขันใหญ่ ๆ อย่าง Motocross of Nations และรายการ FIM World Motocross events รวมไปถึงยังเป็นสนามสำหรับการชิงแชมป์ของประเทศฝรั่งเศสด้วย

 

สนาม Unadilla

เป็นสนามที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของนิวยอร์ค การออกแบบสนามนั้น มีอุปสรรคให้ฝ่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ก้อนหินใหญ่ หรือบ่อลึกว่ากันว่าถ้าไม่เตรียมตัวมาดี ๆ แล้วถ้าพลาดมาอาจถึงตายได้

# 4โมโตครอส – เอ็นดูโร่ ที่ที่น่าสนใจ ไปไหนไปกันได้ทุกเส้นทาง

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

สำหรับจักรยานยนต์โมโตครอสที่มีไว้สำหรับ ออกทริป ไปผจญภัยในเส้นทางวิบาก ถิ่นธุระกันดาร หรือเอาไว้แข่งขันกันในสนามนั้น นักบิดลุยฝุ่นไม่ว่าจะมือสมัครเล่น หรือสายอาชีพนั้นก็มักจะมีรถคู่ใจกันอยู่แล้ว แต่ถ้าใครเป็นมือใหม่หัดลุย หรือถ้าใครกำลังคิดจะเปลี่ยนรถนั้นค่าย Kawasaki นั้นก็น่าจะสนใจไม่น้อยโดยทาง Kawasaki นั้นได้เปิดตัวสองรุ่นสายลุย อย่าง KLX 230 R กับ KLX 300 ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้เหมาะที่จะเป็นคู่ใจในการออกทริป หรือแข่งขันเท่านั้น เพราะไม่สามารถจดทะเบียนกับขนส่งได้ ส่วนรายละเอียดรถนั้นลองมาดูกันเลย

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

Kawasaki KLX 230 R

เป็นมอเตอร์ไซค์วิบาก ที่ให้มาตรฐานการผลิต และใช้เฟรมเดียวกับ รุ่น KLX 230 กับ KLX 230 ABS S ที่ได้เปิดตัวออกมาพร้อมกัน เป็นเครื่องยนต์ ขนาด 1 สูบ 230 CC โดยตัวรถนั้นถูกออกแบบมาใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ หรือเครื่องยนต์ ซึ่งเน้นให้ปราดเปรียว กะทัดรัดคล่องตัว และเหมาะกับทางวิบากทุกรูปแบบ โดยเฉพาะทางฝุ่น โดยแซสซี เป็นแบบ perometer ซึ่งทำให้ตัวจักรยานยนต์นั้นมีน้ำหนักเบา ซึ่งตัวรถนั้นถ้าพิจารณาให้ดีจะมีความกระชับกว่า รุ่น KLX 230 กับ KLX 230 ABS S และไม่มีไฟหน้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำหรับรถวิบากอยู่แล้ว

Kawasaki KLX 230 R และ KLX 300

การรองรับแรงกระแทกนั้นเป็นโช๊คแกน 37 มิลลิเมตรในรูปแบบของเทเลสโคปิค มาพร้อมกับโช๊คเดี่ยวระบบแก๊สที่ปรับได้ ในส่วนเรื่องความปลอดภัยในระบบเบรกนั้นเบรกหน้าเป็นจานเบรก 240 มิลลิเมตร คาลิเปอร์สองลูกสูบ และกระปุกน้ำมันเบรก ทางด้านเบรกหลัง เป็นจานเบรก 220 มิลลิเมตร คาลิเปอร์หนึ่งลูกสูบ สำหรับรายละเอียดส่วนอื่น ๆ ก็มีดังนี้ น้ำหนักรถอยู่ที่ 115 กิโลกรัม ความสูงของรถอยู่ที่ 120 เซนติเมตร ความสูงของเบาะ 92 เซนติเมตร ความยาว 84 เซนติเมตร ระยะช่วงล้อ 136 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 30 เซนติเมตร ความกว้าง 204 เซนติเมตร

 

Kawasaki KLX 300

ถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์วิบากตัวท๊อปของ Kawasaki ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงที่สวยงามโฉบเฉี่ยวทะมัดทะแมง เครื่องยนต์ที่แรง และช่วงล่างที่หนึบแน่น การบังคับคล่องตัวซึ่งถ้าหากนักบิดได้เห็นคงต้องอยากสัมผัสกันทุกคน

ความงามและดีไซน์ของตัวรถนั้นก็คงเอกลักษณ์ของ KX โดยหน้าตาก็ถอดมาจาก KX 450  ไม่ว่าจะเป็นเบาะตัวถังเฟรมโดยการออกแบบนั้นจะเน้นท่านั่งให้นักบิดบังคับหนีบรถได้อย่างถนัด

เครื่องยนต์นั้นก็มีความแรงในระดับถึง 292 CC เครื่องยนต์หนึ่งสูบ ใช้ของเหลวระบายความร้อน และสามารถปรับแต่งความแรงให้เหมาะกับการใช้งานได้

ระบบรับแรงกระแทกโช๊คหน้านั้นเป็นแกนเทเลสโคปิค 43 มิลลิเมตร โช๊คหลังเป็นโช๊คแก๊ส ที่สามารถปรับแต่งได้เต็มที่ ส่วนในระบบเบรกหน้านั้น เป็นสองลูกสูบคาลิปอร์ มาพร้อมขนาดจาน 270 มิลลิเมตร ส่วนเบรกหลังนั้นเป็นคาลิปอร์หนางลูกสูบ โดยที่จานเบรกนั้นอยู่ที่ 240 มิลลิเมตร ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ นั้น น้ำหนักรวมตัวรถ 128 กิโลกรัม จากพื้นไปถึงใต้ท้องรถ 30.5 เซนติเมตร ความสูงของเบาะ 92.5 เซนติเมตร ความสูงของรถ 125 เซนติเมตร ระยะล้อ 143 เซนติเมตร ความยาว 82.5 เซนติเมตร ความกว้าง 212 เซนติเมตร

ส่วนทางด้านราคานั้นในรุ่น Kawasaki KLX 230 R อยู่ที่ 125,000 บาท และ Kawasaki KLX 300 อยู่ที่ 20,0000บาท หากใครคิดว่าตัวเองเหมาะที่จะใช้รุ่นไหนนั้น ก็พิจารณากันได้ตามใจชอบ แต่ทำสำคัญรถจักรนยานยนต์วิกบากทั้งสองรุ่นนี้ ไม่เหมาะที่จะเอาไว้เป็นพาหนะในการเดินทางหรือใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นรถที่มีไฟหน้า และไม่สามารถจดทะเบียนกับทางขนส่งได้ นั่นอาจจะทำให้ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่งเวลาขับขี่ตอนกลางคืน เหมาะสำหรับใช้ออกทริปผจญภัยกับกลุ่มเพื่อนร่วมก๊วน ในตอนกลางวันจะดีที่สุด

 

# เส้นทางวิบากที่ว่าดีที่สุดในไทย และต่างประเทศ

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

ถ้าพูดถึงโมโตครอส ระดับพรีเมี่ยมแล้วเชื่อว่าผู้ที่ชื่นชอบรถวิบากสายลุย คงมีรถในดวงใจกันอยู่หลายรุ่นหลายยี่ห้อ ซึ่งค่ายต่าง ๆ ก็ทำออกมาสู่ตลาด โดยแต่ละค่ายนั้น ก็มีเทคโนโลยี จุดเด่น รูปทรง และราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละค่ายนั้นมีรุ่นอะไรกันบ้าง เราจึงรวบรวมกันมาให้ดูกัน 5 ค่าย ดังต่อไปนี้

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

จักรยานยนต์ MOTOCROSS ของ BMW

สำหรับ BMW ค่ายนี้ ชื่อนี้ การันตีอยู่แล้วเรื่องเทคโนโลยี สำหรับรถใหญ่ในวงการรถหรู หรือรถแข่งระดับโลก หรือบิ๊กไบค์ ที่ออกมาสู่ตลาดอย่างมากมาย แต่สำหรับ MOTOCROSS นั้นก็ยังมีคำถามอยู่เหมือนกันว่าของค่าย BMW จะดีจริงไหม ? บอกเลยว่า ดีจริง โดยเฉพาะรุ่น F 700 Gs ที่เผยโฉมออกมาเมื่อปี 2017 นั้นเป็น MOTOCROSS ที่มีแรงม้ามากถึง 7, 300 รอบ/นาที แรงระเบิดอยู่ที่ 77 นิวตัน มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 2 สูบ จุดเด่นอีกอย่างของรุ่น BMW F 700 Gs นั้นคือ ความอึด ถึก ลุย และตัวรถนั้นน้ำหนักก็ยังเบาอีกอีกด้วย โดยราคานั้นอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท

 

5 MOTOCROSS ในฝันของนักบิดสายฝุ่น

จักรยานยนต์ MOTOCROSS ของค่าย KTM

สำหรับค่าย KTM นั้นหลาย ๆ คนที่ไม่เคยเล่นรถวิบากหรือ โมโตครอส เมื่อได้ยินชื่อค่ายนี้อาจขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะไม่คุ้นชื่อ แต่ในสายโดดสายคลุกฝุ่นนั้นค่าย KTM เป็นค่ายคุณภาพค่ายหนึ่งเลยทีเดียวโดยที่ จักรยานยนต์ MOTOCROSS เกรดพรีเมี่ยมนั้นก็คงจะเป็นรุ่น KTM 1090 Adventure ที่ถูกผลิตออกมาจำหน่ายในปี 2017 โดยเครื่องเครื่องยนต์ที่แรงขนาด 125 แรงม้า ระบบเกียร์ธรรมดา 6 เกียร์ 2 สูบ 4 วาล์ว ราคานั้นก็รุนแรงเช่นกันโดยอยู่ที่ประมาณ 1,000,000บาท กันเลยทีเดียว

 

จักรยานยนต์ MOTOCROSS ค่าย HONDA

HONDA เป็นค่ายรถจักรยานยนต์ที่บ้านเรารู้จักดีมากที่สุด เพราะครองตลาดจักรยานยนต์แทบจะกินขาดทุรุ่นที่ผลิตออกมา เต็มท้องถนนไปหมด แต่สำหรับจักรยานยนต์ MOTOCROSS นั้น HONDA นั้นก็ได้ทำการผลิตเกรดพรีเมี่ยมออกมาสู่ท้องตลาดเช่นกันโดยเป็นรุ่น Honda CRF 250L ที่ผลิตออกมาจำหน่านในปี 2016 เป็นโมโตครอส สายลุยฝุ่นที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ ระดับ 250 CC และรบบหัวฉีด PGM-FI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ HONDA ระบบเบรกหน้านั้นเป็น ดิสเบรก 2 ลูกสูบ เบรกหลัง เป็นดิสเบรก 1 ลูกสูบ ในส่วนราคานั้น ก็จับต้องได้ไม่ยากโดยอยู่ที่ประมาณ หนึ่งแสนกว่าบาทเท่านั้น

 

จักยานยนต์ MOTOCROSS ค่าย Suzuki

เป็นค่ายรถจักรยานยนต์ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งทางการตลาดกับค่าย HONDA ซึ่งจสกทางค่าย Suzuki ผลิตรถจักรยานยนต์ทั่วไปที่เราเห็นกันอย่างคุ้นตา ก็ยังผลิตจักยานยนต์ MOTOCROSS ออกมาในรุ่น Suzuki RM-Z250 standard และได้ผลิตออกมาจำหน่ายเมื่อปี 2016 รูปทรงนั้นดูก็รู้เลยว่าออกแบบมาเพื่อสายลุยโดยเฉพาะ มาพร้อมด้วย เครื่องยนต์ 219 CC ระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ส่วนราคานั้นอยู่ที่ ประมาณเกือบ สามแสนบาทกันเลยทีเดียว

 

จักยานยนต์ MOTOCROSSของค่าย Kawasaki

ค่าย Kawasaki รถในตลาดในบ้านเรานั้นอาจไม่เป็นที่นิยมกันมากนักถ้าเปรียบเทียบกับฮอนด้า หรือซูซูกิแต่ในส่วนของจักยานยนต์ MOTOCROSS นั้นก็ออกทำออกมาได้เหมือนน้อง ๆรถสูตรเลยก็ว่าได้โดยเป็นรุ่น าเรียาดในยhoสามแสนบาทกันเลยทีเดียวงยนต้วยความสงสับเพราะไม่คุ้นชื่อ แต่ในสาย Kawasaki KLX 300 โดยเป็นเครื่องยนต์ 1สูบ 292 CC ระบายความร้อนด้วยของเหลว  ราคานั้นอยู่ที่ประมาณ 300,000

เป็นไงกันบ้างสำหรับข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่เรานำมาฝากกันซึ่งเชื่อว่าหลายๆท่านที่เป็นนักบิดสายลุยอ่านแล้วก็ต้องระงับกิเลสกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียวซึ่งจริงๆแล้วในท้องตลาดยังมีจักยานยนต์ MOTOCROSS ให้ใช้งานกันอีกเยอะมาก ซึ่งใครจะใช้รุ่นไหน ก็คงแล้วแต่ความชอบส่วนตัว ของใครของมัน นั่นเองขอให้มีความสุขกับการขับขี่โดดและลุยฝุ่นกันทุกท่าน

 

Extreme motorsport คืออะไร

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาประเภทไหนถ้าอยากมีความเป็นเลิศในกีฬาประเภทนั้น การทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างมีวินัย คือสิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุด อย่างนักแข่งที่จะเรียกว่าเป็นเทพแห่ง Hard Enduro อย่าง Jonny walker ( ชื่อน่าดื่มมาก ฮ่า)นักบิดสายลุยจากสหราชอาณาจักร ที่เขาก็ต้องมีโปรแกรมฟิตซ้อม เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์พร้อมลงแข่งมากที่สุด โดยเขามีเคล็ดลับ 5 ข้อ มาเปิดเผย มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

เทคนิคการฝึกซ้อมของนักแข่งระดับโลกอย่าง Jonny walker

1. ฝึกความอึด

เพราะไม่ว่าจะเป็นนักปั่นจักรยาน หรือนักแข่งจักรยนต์วิบาก ความอึด แข็งแรง ปอดที่ใหญ่ทำงานได้ดี ร่างกายที่แกร่ง เพราะการแข่งขัน Hard Enduro ต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงบนทางวิบาก และต้องมีการวอร์มเครื่องยนต์มอเตอร์ถึง 20 นาที การฝึกซ้อมนั้น ถ้าเป็นการออกไปปั่นจักรยานก็ต้องปั่นต่อเนื่องให้ได้ถึง 4 ชั่วโมง แต่ถ้าหากเป็นการวิ่งอย่าไปนับว่าวิ่งได้กี่กิโลเมตร แต่ขอให้ให้วิ่งจนหอบ ซึ่งเขาเองเคยฝึกซ้อมด้วยการปั่นจักรยานครั้งละ ประมาณ 12-15 ไมล์แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย

2. ฟิต แอนด์ เฟิร์ม ด้วย สาย TRX

หากใครได้เห็นรูปร่างของ Jonny walker จะเห็นได้ว่ากล้ามเนื้อของเขาชัดเจนไปทุกส่วน หลาย ๆ คนนั้นคิดว่าเขาน่าจะใช้เวลาอยู่ในโรงยิมเพื่อเล่นเวท วันละหลาย ๆ ชั่วโมงเป็นแน่นแท้ ถึงได้ทีรูปร่างขนาดนั้น แต่หากใครคิดเช่นนั้นบอกเลยว่าคิดผิด เขาแทบจะไม่เล่นเวทเลย และถ้าจะเล่นก็เล่นเพียงแค่ 2 ท่าเท่านั้น โดยเขาจะฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อโดยใช้อุปกรณ์เพียงแค่สาย TRX เท่านั้นเอง โดยเขาใช้สาย TRX เพื่อใช้ฝึกแรงต้านจากร่างกาย แทบจะทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นขา ลำตัว แขน หน้าอก เป็นต้น และสาย TRX ยังสามารถประยุกต์ใช้ในท่าออกกำลังได้เยอะมาก

3. อย่าฝึกกล้ามเนื้อแขนด้วยการยกดัมเบล หรือยกน้ำหนัก

คนโดยทั่วไปหรือนักแข่งจักรยานยนต์วิบากหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าต้องฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อช่วงแขนให้มาก เพราะแขนที่แข็งแรงมีส่วนในการประคองรถ หรือบังคับรถได้ง่ายมากขึ้นแต่  Jonny walker ได้บอกว่าการยกดัมเบลหรือยกน้ำหนักเพื่อฝึกฝนกล้ามเนื้อแขนนั้นไม่ควรที่จะทำเป็นอย่างยิ่ง การที่ไปเพิ่มกล้ามเนื้อช่วงแขนนั้นทำให้ระบบหมุดเวียนของเลือดที่จะไปหล่อเลี้ยงบริเวณแขนนั้นไม่ดี และไม่ทั่วถึง ซึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อการ ขี่จักรยานยนต์วิบากเลย

4. หลัง และขาที่แข็งแรงมาจากเล่นท่า สควอช ให้มาก

การที่ขา และหลังแข็งแรง เป็นการช่วยให้บังคับรถได้ดีด้วย อย่างเวลาที่ขี่ไปในเส้นทางที่ยืนโก่งตัวในรูปแบบของการขี่ Hard Enduro การเข้าโค้ง ที่ต้องเกร็งหลัง และต้องเหยียดขาออกบ่อย ๆ การออกกำลังกายด้วยท่า สควอช ถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี และเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถล้มการจะดันรถให้ตั้งขึ้นได้นั้นต้องใช้กำลังขา และหลังเป็นอย่างมากยิ่งโดยเฉพาะหากเป็นจักรยานรุ่นใหญ่ ยิ่งลำบาก ความแข็งแรงของขาและหลังจึงสำคัญมาก

5. ออกไปลุย

เพราะการออกไปขี่จักรยานยนต์วิบากคือการฝึกซ้อมที่ดีที่สุด ไม่ว่าทักษะรวมถึงประสบการณ์ที่จะได้ การฝึกกล้ามเนื้อด้วยการเกร็ง เพราะว่าเรารักในกีฬาประเภทนี้ สุดท้ายความสุขที่ได้ ก็คือการออกไปขี่จักรยานยนต์วิบากแล้วออกลุยนั่นเอง

เป็นไงกันบ้างสำหรับเคล็ดลับ 5 ข้อ ของนักแข่งอย่าง Jonny walker หวังว่านักบิดสายลุยหลาย ๆ ท่านได้ประโยชน์กันไม่มากก็น้อย ซึ่งงวิธีการฝึกเหล่านี้ เราก็ยังสามารถ นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเองได้อีกด้วย เพราะเคล็ดลับแต่ละข้อนั้นไม่มีข้อไหนยากเลยเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้

 

# การแข่งรถมอเตอร์ครอสในประเทศไทย เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา

นักไต่เชือกชาวอเมริกา สร้างสถิติไต่เชือกที่ขึงระหว่างบอลลูนทั้ง 2 ลูก

นักไต่เชือกชาวอเมริกา สร้างสถิติไต่เชือกที่ขึงระหว่างบอลลูนทั้ง 2 ลูก

นักไต่เชือกชาวอเมริกา สร้างสถิติไต่เชือกที่ขึงระหว่างบอลลูนทั้ง 2 ลูก

ปกติแล้วการไต่เชือกข้ามภูเขาหรือข้ามตึกสูงก็สร้างความระทึกมากพออยู่แล้วเนื่องจากความสูงของมันนั้นทำให้กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความอันตรายที่อาจจะพลาดชีวิตของเหล่านักไต่เขาได้เลยหากพวกเขาพลาดแม้เพียงนิดเดียวโดยเฉพาะนักไต่เขาบางคนที่ท้าทายความสามารถของตนเองด้วยการไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือใดๆในการทรงตัวหรือสร้างสมดุลที่จะช่วยให้เดินบนเชือกได้ง่ายยิ่งขึ้นหรือบางคนที่แม้แต่อุปกรณ์เซฟตี้ที่จะช่วยรักษาความปลอดภัยให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินของตนเองนั้นยังเลือกที่จะไม่ใช้เลยด้วยซ้ำไปด้วยความที่รูปแบบของกีฬาไต่เชือกนั้นจะค่อนข้างไม่มีอะไรหากคุณเป็นคนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มีความชำนาญเป็นพิเศษสามารถเดินบนเชือกเส้นเล็กๆได้โดยที่ไม่ได้มีความกลัวหรือความประหม่าแต่อย่างใดและยังสามารถทํามันได้ดีมาก

นักไต่เชือกชาวอเมริกา สร้างสถิติไต่เชือกที่ขึงระหว่างบอลลูนทั้ง 2 ลูก

โดยเสมอด้วยมันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่านักไต่เชือกมักจะแสวงหาความตื่นเต้นและความท้าทายใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อเป็นการพัฒนาฝีมือของตนเองและเราต้องไม่ลืมว่าคนที่จะชื่นชอบในการเล่นกีฬาประเภทนี้ต้องเป็นคนที่ชื่นชอบในเรื่องของความท้าทายและความเสี่ยงอันตรายอยู่แล้วมันจึงไม่น่าแปลกใจนักหากเราจะเห็นการท้าทายตนเองที่มีความน่าหวาดเสียวและเป็นอันตรายมากขึ้นทุกทีหากคุณคิดว่าสิ่งที่เคยรับรู้มาเกี่ยวกับการไต่เชือกมันช่างน่าหวาดเสียวจนไม่น่าจะมีอะไรที่จะทำให้อะดรีนาลีนของคุณหลังไปได้มากกว่านี้อีกแล้วอย่างเช่นการเดินบนเชือกเส้นเล็กๆข้ามภูเขาที่สูงกว่า 1,000 เมตร หรือการใส่ส้นสูงไต่เชือก แต่เชือกที่พวกเขากำลังเดินนั้นเป็นเชือกที่ขึงไว้ตึงและค่อนข้างมีความมั่นคงเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่ามันจะไม่ท้าทายพอสำหรับนักสร้างสถิติโลกในการไต่เชือกอย่างนักกีฬาไต่เชือกชาวสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อว่าแอนดี้ ลูอิส ชายหนุ่มผู้เคยมาสร้างสถิติในการข้ามระหว่างตึกสูงในประเทศไทยมาก่อนจนกลายเป็นข่าวดังเมื่อปีพ.. 2557 ในครั้งนั้นเขาสามารถสร้างสถิติโลกครั้งใหม่ได้ในประเทศไทยซึ่งเป็นการทำลายสถิติเดิมของตนเองในเรื่องของระยะทาง แต่ในครั้งนี้เขาได้ท้าทายตนเองในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป จะเป็นอย่างไรหากเราต้องเดินอยู่บนเชือกที่หย่อนไม่ได้ถูกขึงให้ตึงจนมีความมั่นคงมากพอที่จะสามารถทรงตัวอยู่ได้

ในครั้งนี้แอนดี้จึงได้เลือกที่จะสร้างสถิติโดยการเดินบนเชือกที่ขึงระหว่างบอลลูน 2 ลูกที่กำลังลอยอยู่กลางท้องฟ้าความสูงเมื่อวัดแล้วจากระดับพื้นดินมีความสูงถึง 4,000 ฟุตเลยทีเดียว แม้ว่าระยะห่างระหว่างมนุษย์ทั้ง 2 ลูกนั้นจะเป็นระยะห่างเพียงแค่ 12 เมตรเท่านั้นแต่มันก็เป็นการท้าทายความสามารถเป็นอย่างมากกับการที่จะต้องรักษาสมดุลและพยายามทรงตัวบนเชื่อที่มีความหย่อนและไม่ตึงแถมยังลอยอยู่เหนือท้องฟ้าอีกด้วย ซึ่งในกรณีนี้หากตกลงมาแม้ว่าจะมีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยก็จะอันตรายมากกว่าการไต่บนเชือกที่ถูกขึงไว้จนตึงแล้ว ที่สำคัญคือสถานที่ที่บอลลูน 2 ลูกนี้ลอยอยู่บนฟ้านั่นก็คือเป็นพื้นที่ทะเลทรายเนวาด้าใกล้กับเมืองที่ชื่อว่าลาสเวกัส

การลอยอยู่ท่ามกลางอากาศบนพื้นที่ที่เป็นทะเลทรายนั้นนอกจากจะต้องพบเจอกับอากาศที่ร้อนแล้วยังจะต้องพบเจอกับลมที่กรรโชกแรงอีกด้วย ยิ่งเป็นการเพิ่มความยากและความท้าทายให้กับการเดินบนเชือกในครั้งนี้เป็นอย่างมาก หลังจากที่เขาสามารถทำมันได้สำเร็จเขาได้มีการกล่าวว่าเขานั้นรู้สึกมหัศจรรย์เป็นอย่างมากเมื่อได้เดินอยู่บนเชือกที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า มันทำให้เขานั้นได้รู้สึกถึงอิสระภาพและความเสรีได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่ามันจะเป็นความตื่นเต้นในการเสี่ยงชีวิตที่จะเล่นกีฬาชนิดนี้แต่มันก็ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความมุ่งมั่นที่ทำให้เขานั้นสามารถบรรลุเป้าหมายได้มันจึงกลายเป็นกีฬาที่เขารัก การที่เขาออกมาทำสถิติโลกเช่นนี้ทำให้ทั่วทั้งโลกนั้นหันมาสนใจกีฬาการไต่เชือกมากยิ่งขึ้น จนครั้งหนึ่งเขานั้นเคยได้รับเชิญไปแสดงคู่กับการแสดงของมาดอนน่าอีกด้วย ซึ่งมันทำให้เขานั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและกลายเป็นนักไต่เชือกที่มีแต่คนรู้จักไปทั่วทั้งโลก

 

#ชายชาวจีนทำลายสถิติข้ามหุบเขาที่มีแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลก

การแข่งรถมอเตอร์ครอสในประเทศไทย เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา

การแข่งรถมอเตอร์ครอสในประเทศไทย เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา

หลังจากที่วงการโมโตครอสบ้านเราซบเซามาหลายปี จนมาในช่วงประมาณ10ปีที่ผ่านนั้นได้รับความนิยมอีกครั้งและไม่ได้รับความนิยมธรรมดาเป็นการได้รับความนิยมแบบก้าวกระโดดเพราะเราจะสังเกตได้ว่ามีการแข่งขันจักรยานยนต์วิบากอยู่มากมายหลายรายการหลายสนามกระจายอยู่ทั่วประเทศเมื่อเป็นเช่นเช่นนั้นทางประเทศไทยเราเองจึงได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโมโตครอสชิ่งแชมป์โลกมากมายหลายรายการและก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมากสำหรับผู้ที่ชอบในกีฬาจักรยานยนต์วิบากและนักแข่งทั่วโลกซึ่งการจัดการแข่งขันชิงแชมป์โลกในบ้านเรานั้นยังเป็นการช่วยยกระดับฝีมือของนักแข่งโมโตครอชาวไทยไปในตัวอีกด้วย

การแข่งรถมอเตอร์ครอสในประเทศไทย เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา

ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยทางด้านเศรษฐกิจให้ดีขึ้นโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวซึ่งมาการกะประมาณเอาไว้ว่าเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเพราะการแข่งขันโมโตครอสชิงแชมป์โลกนั้นน่าจะสูงถึงมากกว่า 100 บาท ต่อปีกันเลยทีเดียว ซึ่งทางรัฐเมื่อเห็นประโยชน์ของการแข่งขันก็ให้การสนับสนุน และส่งเสริมให้มีการจัดการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง และทำให้ต่างชาติเห็นว่าเรานั้นมีความพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าสนามแข่งที่ได้มาตรฐาน และหลากหลาย ทำให้สนามชิงแชมป์โลกในบ้านเราเริ่มเป็นจุดหมายปลายทางของนักแข่งหลาย ๆ ประเทศ

เพื่อแสดงถึงความจริงใจในการจัดการแข่งขัน เราจึงได้เริ่มเนรมิตสนามแข่งขันจักรยานยนต์วิบากขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ชื่อว่าสนาม รึคแคร์ ปาร์ค และทุ่มทุนสร้างอย่างจริงจังโดยใช้งบประมาณในการสร้างสูง ถึงกว่าพันล่านบาทบนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ กันเลยทีเดียว ซึ่งบริเวณสนามนั้นก็ถือว่าตั้งอยู่บนทำเลที่ดี โดยเดินทางจากสนามบิน ใช้เวลาเพียง10-15 นาทีเท่านั้น โดยสนาม สนามรึคแคร์ ปาร์ค ยังพร้อมที่จะเป็นสนามอเนกประสงค์อีกด้วย โดยพร้อมจัดการแข่งขัน กีฬาประเภทอื่น ที่เหมาะสม เท่านั้นยังไม่พอยังได้มีการสร้างสนามที่ไม่ห่างจากกรุงเทพขึ้นอีก โดยเป็นการสร้างที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยยังเป็นศูนย์ฝึกซ้อมของทีมชาติ และตัวสนามก็จะยังใช้จัดการแข่งขันชิงแชมป์โลกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผลพลอยได้เรื่องเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวนั้น จะถูกดูดเข้ามาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

รายการแข่งขันระดับโลกของไทยในช่วงที่ผ่านมา

โดยในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยก็ได้เริ่มจัดการแข่งขันชิงแชมป์โลกไปหลายรายการและประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมีผู้จัดอย่าง บริษัท IDEMITSU ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันเครื่องเจ้าใหญ่เขามาเป็นผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง อยู่ตลอด

โดยในปี 2018 นั้นก็เป็นจัดการแข่งขันรายการ IDEMITSU Thailand Supercross ถือว่าเป็นรายการเปิดตัวเพื่อให้นักแข่งทั่วโลกรู้จักสนามแข่งขันในประเทสไทยโดยทุ่มงบประมาณในการจัด ถึง สองร้อยล้านบาทกันเลย และต่อมา ในปี 2019 ก็จัด IDEMITSU Thailand Supercross 2019 อีกครั้ง โดยคราวนี้ไปจัดการแข่งขันที่จังหวัดระนอง เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัด ในส่วนผู้สนับสนุนรายอื่น ที่เข้ามาจัดการแข่งขันก็คือ FMSCT ซึ่งได้จัดการแข่งขัน FMSCT Thailand Supercross 2019 ที่จัดการแข่งขันกันที่สนามสนามรึคแคร์ปาร์คที่ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งนักแข่งไทยละนักแข่งต่างชาติและก็มีประชาชนเข้าชมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก

แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายไม่น้อยที่การแข่งขันจักรยานยนต์วิบากชิงแชมป์โลกในประเทศไทยขาดความต่อเนื่องเพราะสะดุดกับปัญหาวิกฤตโรคระบาดไวรัสโควิด – 19 ทำให้ต้องงดการแข่งขันรายการต่าง ๆ อย่างไม่มีกำหนด เพราะถึงแม้จะจัดได้ ก็เป็นได้ยาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่นักแข่งชั้นนำแนวหน้าจากทั่วโลกจะเข้ามาทำการแข่งขัน คงต้องรอดูว่าหลังจากนี้ไปจะมีการจัดการแข่งขันได้เมื่อไหร่เท่านั้นเอง

 

# เทคนิคการขี่ motocross

เทคนิคการขี่ motocross

เทคนิคการขี่ motocross

ในการเล่นกีฬาทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาอาชีพ หรือมือสมัครเล่นนั้นย่อมต้องมีความเชี่ยวชาญ หรือจำเป็นต้องฝึกซ้อมอยู่เสมอ ยิ่งกีฬาที่มีความท้าทาย และมีความเสี่ยงอย่างเช่นการปั่นจักรยานไม่ว่าประเภทถนน หรือประเภทเสือภูเขา รวมไปถึงการขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก หรือที่เรียกกันว่า motocross นั้นยิ่งต้องเพิ่มความเชี่ยวชาญเข้าไป เพราะเป็นกีฬาที่ใช้ความเร็ว ไปในเส้นทางที่เสี่ยง และผาดโผน หากไม่มีความชำนาญหรือเทคนิคดี ๆ แล้วนั้น อาจจะหมดสนุก รวมไปถึงเกิดอุบัติเหตุได้ เพราะว่าขี่ได้กับขี่เป็นนั้นแตกต่างกันเราจึงนำเอาเทคนิคการขี่ motocross มาฝากกัน

เทคนิคการขี่ motocross

รู้จักรอบของเครื่องยนต์

รถจักรยานยนต์วิบากแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อนั้น มีขีดความสามารถที่ไม่เหมือนกันฉะนั้นหากเราใช้รถรุ่นไหนอยู่ หรือกำลังได้รถมาใหม่ หรือกำลังเปลี่ยนรถใหม่ โดยเฉพาะรถวิบากนั้นจะเน้นอัตราการเร่งเป็นสำคัญ ยิ่งตอนออกตัวถ้าใครเคยดูการแข่งขัน motocross จะเห็นว่าใส่กันสุดคันเร่ง ถึงขั้นยกหน้ากันเลย ในระหว่างที่ขี่นั้นในเส้นทางวิบากจะมีการเข้าโค้งผ่อนหนักผ่อนเบา ตามความยากของเส้นทาง การรักษารอบ คันเร่ง และการเปลี่ยนเกียร์คือสิ่ง ที่สำคัญที่สุดต้องสัมพันธ์คล้องจองกันอย่างถูกจังหวะ เพราะถ้าขี่รอบที่ต่ำเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาได้

 

จัดท่าทางการขับขี่ให้ถูกต้อง

การขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก หรือ motocross นั้นแตกต่างจากการขี่จักรยานยนต์ทางเรียบโดยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะต้องเน้นการควบควบคุมรถที่อยู่บนเส้นทางที่ขรุขระ สมาธิต้องจดจ่อกับเส้นทางที่กำลังไปว่ามีอะไรขวางอยู่บ้าง การจัดท่าทางการขี่นั้นจึงสำคัญ โดยอย่างแรกเลยก็คือการวางเท้า โดยที่เท้าขวานั้นต้องอยู่ที่บริเวณคันเกียร์อยู่เสมอ (ยกเว้นตอนเอาเท้าลงพื้นเพื่อประคองรถ) เพื่อง่ายต่อการเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างสอดคล้อง กับรอบของเครื่องยนต์ที่เปลี่ยนตลอดเวลา ส่วนเท้าซ้ายนั้นก็ต้องอยู่ทีคันเบรกอย่าให้ห่างเช่นกัน เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินก็จะสามารถหยุดรถได้ทันท่วงที โดยเทคนิคการเบรกนั้นก็เน้นไปที่เบรกมือ หรือเบรกหน้าในระดับ 70% และใช้เบรกหลัง 30% เมื่อจะทำการหยุดรถ ในส่วนของท่านั่นนั้น เข่าก็ควรจะต้องหนีบถังน้ำมันตลอดเวลา ซึ่งจริง ๆแล้วการขี่ motocross นั้นปกติส่วนใหญ่ก็จะยืนเสียมากกว่าเพราะมันง่ายต่อการทรงตัว ในการยืนนั้นก็ควรจะโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ช่วงแขนรวมไปถึกศอกกางออก และควรเทน้ำหนักไปทางด้านหน้าเสมอ

 

รู้หลักการเข้าโค้ง

รถจักรยานยนต์ motocross นั้นด้วยการที่ออกแบบรวมไปถึงโครงสร้างทั่วไปนั้นจะแตกต่างจักรยานทางเรียนชนิดอื่น ๆ การเข้าโค้งจึงแตกต่างกันออกไปด้วย โดยการเข้าโค้งของมอเตอร์ไซค์วิบากนั้นควรที่จะยื่นเท้าเฉียงออกไปด้านประมาณ 45 องศาเพื่อง่ายต่อการควบคุมรึและเพื่อความสมดุลยกตัวอย่างเช่นเมื่อเข้าโค้งด้านซ้ายก็ให้ยื่นเท้าซ้ายเมื่อเข้าโค้งขวาก็ยื่นเท้าขวา

การถ่ายเทน้ำหนักเมื่อข้ามสิ่งกีดขวาง

การข้ามสิ่งกีดขวางนั้น ไม่ว่าจะเป็นท่อนไม้ กิ่งไม้ หินหรือหลุมบ่อ การขี่รถข้ามไปนั้นจังหวะที่ล้อหน้าข้าม ให้จับแฮนด์รถให้มั่นพร้อมกับยืนแล้วเอนตัวไปด้านหลัง เพื่อทำให้ช่วงหน้าของรถนั้นเบาที่สุด เมื่อถึงจังหวะที่ล้อหลังกำลังจะข้ามก็ให้เอนตัวโน้นตัวไปด้านหน้า เพื่อเป็นการถ่ายเทน้ำหนักให้ช่วงหลังของรถนั้นเบานั่นเอง

หวังว่าเทคนิคเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะช่วยให้นักบิดนำไปใช้ได้อย่าเกิดประโยชน์และที่สำคัญไม่ว่าจะขับขี่เส้นทางไหนก็ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักแล้วเราจะสามารถสนุกกับการขี่มอเตอร์ไซค์ไปอีกนาน

 

เส้นทางวิบากที่ว่าดีที่สุดในไทย และต่างประเทศ

3 จักรยานยนต์วิบาก สายลุยรุ่นใหญ่

3 จักรยานยนต์วิบาก สายลุยรุ่นใหญ่

สำหรับนักบิดหลาย ๆ คนที่หันมาเลนรถจักรยานยนต์วิบากนั้น ก็มีเหตุผลแตกต่างกันไป บางคนชอบ ความตื่นเต้น ชอบผจญภัย หรือเพื่อการออกทริป ท่องเที่ยว แต่โดยส่วนมากแล้วคนที่ชอบออกทริปท่องเที่ยวนั้น หรือสายทัวริ่ง ก็มักจะเน้นรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งเดินทางได้สบายใจกว่า แต่สำหรับใครที่ชอบแนวทัวริ่งด้วย และสามารถลุยไปได้ทุกเส้นทาง นั้นก็ควรจะเน้นไปที่รถรุ่นใหญ่ แนว Adventure ซึ่งก็จะมีมาแนะนำให้รู้จัก 3 รุ่นด้วยกัน

3 จักรยานยนต์วิบาก สายลุยรุ่นใหญ่

Triumph Tiger 800

สำหรับ Triumph Tiger 800 ออกแบบดีไซน์อย่างสวยสง่า ดูแกร่ง และแรง ซ่อนความดุดัน ราวกับเสือ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 800 ซีซี 95 แรงม้า นั่นจึงทำให้มีรถมีความแรงบิดได้อย่างใจนึก ด้านความปลอดภัยในด้านไฟส่องสว่างนั้นหมดห่วงด้วยไฟในแบบ LED โครงสร้างแข็งแรงทนทาน ส่วนล้อรถนั้นเป็นแบบซี่ลวด ยางอย่างหนา โดยขนาดโดยยางหลังนั้นจะหยาและเล็กกว่ายางหน้าเล็กน้อยระบบของรถนั้นก็ยังควบคุมด้วยระบบ อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถปรับโหมดขับขี่ให้สอดคล้องกับทุกสภาพถนน ไม่ว่าจะเป็นโหมดในการขี่ตอนฝนตก ขี่ถนนปกติ ขี่แบบ ออฟโรด รวมไปถึงขี่แนว สปอร์ตก็สามารถทำได้ และยังสามารถเพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่ได้อย่างเช่น โหมด ออฟโรด โปร ซึ่งโหมดนี้สามารถไปได้ในทางที่กันดารมากขึ้นได้อย่างหมดห่วงนั่นเอง ทางค่าย Triumph นั้นยังเครมอีกว่าเป็นรถจักรยานยนต์วิบากสายลุยที่ใช้โหมด ออฟโรด โปร ส่วนทางด้านแฮนด์นั้น ยังสามารถควบคุมง่ายด้วยปุ่มบังคับราวกับเล่นเกม กันเลยทีเดียว

 

BMW F 850 GS Adventure

เป็นแบรนด์ดัง ยี่ห้อหรู ที่ใครหลาย ๆ คนหมายปองสำหรับ BMW F 850 GS Adventure มีมาพร้อมความสวยเท่ บาดใจ นอกจากนี้ยังมันรถจักรยานยนต์รุ่นใหญ่ที่เน้นไว้ออกเดินทางทริปไกล ๆ ได้อย่างค่อนข้างจะดีมาก เพราะที่นั่งของขนขับนั้นออกแบบมาค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบนั่งสบาย ส่วนแฮนด์ และรวมไปถึงส่วนต่าง ๆ นั้นค่อนข้างจะจัดตำแหน่งได้อย่างลงตัวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้สามารถลุยได้ทุกเส้นทางทั้งทางถนนเรียบ และทางกันดาร สามารถท่องเที่ยวด้วยการขี่ยาว ๆ เพราะถังน้ำมัน บรรจุได้ถึง 23 ลิตร ไฟส่องสว่างเป็นรูปแบบ LED เห็นชัดเจนไม่ว่าจะมืดแค่ไหนก็ขี่ได้อย่างปลอดภัย วงล้อนั้นเป็นแบบซี่ลวด ขนาดวงล้ออยู่ที่ 21 นิ้ว ซี่รับรองได้ว่าแข็งแรงลุยเส้นทางได้หลากหลายไม่แพ้ล้อแม็กซ์อย่างแน่นอน ทางด้านเครื่องยนต์ของรุรุ่นนี้ก็จัดเต็มมาด้วยขนาด 853 ซีซี 2 สูบ 95 แรงม้า 6 เกียร์  ระบบความร้อนระบายด้วยน้ำ มีระบบ Closed loop ที่ช่วยควบคุมเครื่องยนต์และระบบไอเสียการนุ่มสบายในการขับขี่นั้นก็ถือว่าทำได้ดีเพราะใช้โช๊คแบบหัวกลับแข็งแกร่งด้วยสวิงอาร์มที่ทำจากอะลูมิเนียมซึ่งโดยรวมแล้งจัดได้ว่าเป็นรถรุ่นใหญ่ที่เพอร์เฟคมาก

 

Yamaha Tenere 700

รถวิบากรุ่นใหญ่จากค่าย Yamaha ในรุ่นนี้นั้นออกผลิตออกมาเป็นแนว Adventure เต็มรูปแบบ สวยแกร่งดูดีมีสไตล์ คล่องตัวสูง โฉบเฉี่ยวพร้อมลุยไปทุกที่ ส่วนตัวของรถนั้นก็แรงหนัก ด้วยเครื่องยนต์ 689 ซีซี 2 สูบ 4วาล์ว 54 แรงม้า เกียร์ 6 Speed ทำงานร่วมกับระบบครัชได้อย่างลงตัว ไฟส่องสว่างในรูแบบ 4 ดวง LED ช่วงล่างนั้นก็ยังนุ่มนวลด้วยระบบกันกระแทก และยางที่หนาแข็งแรงทน และเกาะถนนเป็นเยี่ยม

นี่ก็คือสวยหนึ่งของจักรยานยนต์สายลุยรุ่นใหญ่ที่เอามาแนะนำกันซึ่งหากใครชอบรถขนาดใหญ่รับรองไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอนไม่ว่าจะระบบเครื่องเครื่องยนต์และเทคโนโลยีที่ค่อนข้างจะทันสมัยรับรองรองว่าการขี่ออกไปท่องเที่ยวไกลๆนั้นไม่มีผิดหวังแน่นอน

 

# บุกตลาดรถวิบาก YAMAHA เปิดตัว WR155R 2020